Sunday, May 6, 2007

ลีโอนาโด ดาวินซี

กระแสภาพยนตร์ระหัสลับดาวินชี หรือ ดาวินชี โค้ด ( Davinci Code) ในบ้านเรา ร้อนแรงไม่แพ้ต่างประเทศเลยนะคะทำให้ใครหลายคน หันมาสนใจและไถ่ถามถึงเรื่องราวกันมากขึ้น หลังจากมีกระแสการคัดค้านจากคริสต์ศาสนิกชนของประเทศต่างๆ มากมาย

ด้วยกระแสของภาพยนตร์ดังนี้เอง ที่ทำให้ดิฉันนึกถึงศิลปินอัจฉริยะคนนี้ ที่ผลงานจิตรกรรมของเขากลายเป็นตัวไขความลับสำคัญของนิยายเรื่องนี้ รวมทั้งชื่อเสียงของเขายังถูกนำไปพัวพันกับความเชื่อ ความศรัทธาอีกด้วย คนนั้นก็คือ ลีโอนาร์โด ดาวินชี ( Leonardo da Vinci)

เขาเกิดเมื่อวันที่ 15 เมษายน 1452 ใช้ชีวิตช่วงเริ่มต้นที่ชนบทกับพ่อและแม่ในหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ในเมือง วินชี (Vinci) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประเทศอิตาลี มีคำเล่าลือว่าสมัยที่ยังหนุ่มเขาเป็นคนหน้าตาดีมาก มีความสง่างามในทุกท่วงท่าของการเคลื่อนไหว อีกทั้งยังเป็นบุคคลอัจฉริยะ เพียงไม่กีคนที่มีอยู่บนโลกใบนี้ เขาศึกษาศาสตร์หลากหลายแขนงนะคะไม่ว่าจะเป็น กายวิภาค สถาปัตยกรรม พฤกษศาสตร์ ภูมิวิทยา คณิตศาสตร์ ดนตรี จิตรกรรม ประติมากรรม

ครั้งหนึ่งเมื่อเขาเริ่มต้นการเป็นจิตรกร เขาถูกส่งไปฝึกงานอยู่กับ Verrocchio มีคำร่ำลือว่าเขาวาดได้ดีกว่าครูของตัวเอง จนทำให้ Verrocchio ตัดสินใจเลิกวาดภาพในเวลาต่อมา หลังจากนั้นเขาก็เริ่มแสวงหาความรู้แขนงต่างๆ อีกมากมาย ตลอดระยะเวลา 67 ปีของชีวิตของเขาซึ่งอยู่ในช่วงเรเนซองค์ของยุโรป (Renaissance)

มีบางคนบอกว่าเขาเป็นผู้ถนัดซ้าย ขณะที่โลกสมัยเขานั้นมองว่าการถนัดซ้ายเหมือนมีปีศาจสิงอยู่ เขารับประทานมังสวิรัติ ท่ามกลางโลกของคนกินเนื้อ เขาเป็นผู้ยึดมั่นในสันติ ท่ามกลางโลกซึ่งใช้อำนาจเป็นเครื่องมือในการปกครอง และเขาเป็นเกย์ ท่ามกลางโลกที่คิดว่า รักต่างเพศเท่านั้นจึงจะถูกต้อง....

ในภาพยนตร์ ดาวินชี โค้ด เปิดเรื่องด้วยการตายของภัณฑรักษ์ชรา ผู้ซึ่งกำความลับบางอย่างเอาไว้ และต้องการจะบอกเรื่องนี้กับหลานสาวของตัวที่เขาได้พร่ำสอนเรื่องการถอดระหัส จนกระทั่งหลานสาวได้ทำงานพิเศษทางด้านนี้

ก่อนสิ้นลมหายใจ เขาวางท่าการตายของตัวเองไว้เป็นรูปเดอะวิทรูเวียนแมน (The Vitruvian Man) ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพวาดอันโด่งดังของลีโอนาโด ดาวินชี

ภาพเดอะวิทรูเวียนแมน ภาพนี้ถูกวาดขึ้นเมื่อประมาณช่วงปี ค.ศ.1490 เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของลีโอนาโด และได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพร่างที่ถูกต้องตามหลักสรีระศาสตร์มากที่สุด นอกจากนี้ในผลงานจริง จะเห็นว่าด้านบนและล่างของมนุษย์ในวงกลมและสี่เหลี่ยม ยังเต็มไปด้วยอักษรหลายบรรทัด ซึ่งลีโอนาโดได้บันทึกไว้ด้วยตัวอักษรกลับด้าน มีผู้ถอดความได้ว่า “ภาพนี้วาดขึ้นเพื่อเป็นการศึกษาสรีระของร่างกายมนุษย์เพศชาย ตามที่ถูกบันทึกไว้โดย วิทรูเวียน นักปราชญ์ชาวโรมันในยุคก่อนคริสตกาล”

ส่วนอีกภาพหนึ่งที่ลือชื่อของลีโอนาโด คือ ภาพโมนาลิซา ที่แต่เดิมมีชื่อว่า ลาจิโอกองด์ (La Giaconda) ภาพนี้กลายเป็นภาพปริศนาของรอยยิ้มและสายตาที่ จ้องมองตอบคุณได้ทุกมุมมอง ไม่ว่าคุณจะเดินไปทางไหน หากคุณมองไปยังภาพโมนาลิซา คุณก็จะเห็นว่าเธอจ้องมองตอบคุณตลอดเวลา

ภาพโมนา ลิซาของจริงนั้นมีขนาดเพียง 31 x 21 นิ้ว และเป็นการเขียนสไตล์ สฟูมาโต ซึ่งถือเป็นความเชี่ยวชาญพิเศษของลีโอนาโด เลยก็ว่าได้ การวาดภาพที่ดูเหมือนมีหมอกบางๆ อาบภาพนั้นอยู่ รวมทั้งรูปร่างสิ่งของต่างๆ ก็ถูกกลืนเข้าหากัน

เทคนิคแบบสฟูมาโต (Sfumato) นี้เป็นวิธีการทำงานแขนงหนึ่งของศิลปินอิตาลีในยุคเรเนซองส์ ในประมาณช่วงศตวรรษที่ 16 – 17 โดยศิลปินจะนำเอาแนวคิดเรื่องม่านควัน มาใช้ในงานศิลปะ ด้วยการผสมผสาน สี แสง เงาให้นุ่มนวล

แต่สำหรับลีโอนาโด ดาวินชี การทำเทคนิคสฟูมาโตนั้น เขาก็มีคำอธิบายเฉพาะของตัวเอง โดยเขาจะแปรการเฝ้าสังเกตุในธรรมชาติ อากาศในธรรมชาติและบางอย่างที่คล้ายม่านควัน เมื่อเขานำสิ่งเหล่านี้ใส่ลงในผลงานภาพวาดของตัวเอง สีของวัตถุต่างๆ ก็จะหม่นลงมัวลง ลีโอนาโดใช้เทคนิคสฟูมาโต มาสร้างอารมณ์ให้กับภาพเขียนของเขา และผลที่ได้ก็คือ ความรู้สึกที่เป็นปริศนา ซ่อนเร้น ลึกลับและเต็มไปด้วยความเศร้าอย่างที่เราเห็นอยู่ในผลงานบางชิ้นของ
เขา

สำหรับภาพโมนาลิซา นั้นลีโอนาโดเริ่มวาดเมื่อปี 1503 ขณะที่นางแบบของเขามีอายุได้ 24 ปีและเขาวาดภาพนั้นเสร็จในปี 1507 โดยการว่าจ้างของขุนนางแห่งฟลอเรนส์คนหนึ่งที่ต้องการให้ลีโอนาโดวาดภาพภรรยาคนที่สามของตัว แต่หลังจากที่เขาวาดภาพนั้นเสร็จเขากลับไม่ขายภาพนั้นให้กับขุนนางผู้ว่าจ้าง แต่กลับเก็บภาพนั้นไว้กับตัวเอง มีบางข้อสันนิษฐานกล่าวว่า ภาพโมนาลิซานั้นคือตัวของลีโอนาโดเอง โดยเขาเชื่อกันว่าลีโอนาโดใช้ตัวเองเป็นแบบแต่วาดออกมาเป็นภาพผู้หญิง

ภาพโมนาลิซา ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ในห้องกระจกนิรภัยภายในพิพิธภัณท์ลูฟว์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และนับเป็นสมบัติทางศิลปะที่ประเมินค่าไม่ได้ชิ้นหนึ่งของโลก ภาพนี้เคยจะถูกคนเพี้ยนเอาน้ำกรดไปสาด แต่โชคดีที่เขาคนนั้นถูกจับได้เสียก่อน แต่...ภาพนี้ก็เคยผจญภัยด้วยการถูกขโมยไปถึง 2 ครั้ง โดยล่าสุดหายไปจากโถงจัตุรัสของพิพิธภัณท์ลูฟว์ เมื่อปี 1911

และเมื่อพูดถึงอะไรต่างๆ มากมาย หากละเลยที่จะพูดถึงภาพเจ้าปัญหาและกลายเป็นตัวคลื่คลายปมปัญหาต่างๆของเรื่องดาวินชี่ โค้ด ก็คงจะยังไงอยู่ ภาพนั้นคือ ภาพ เดอะ ลาสต์ ซัปเปอร์ ค่ะ The Last Supper ภาพนี้เคยมีจิตรกรคนอื่นๆ เขียนไว้แล้วมากมาย แต่ไม่เคยมีใครเขียนได้สมจริงเท่าลีโอนาโด เพราะเขาพยายามใส่ทุกอย่างให้สมจริงและแฝงการสื่อความหมายลงในภาพอย่างแยบยล เขาทุ่มเทเวลาการเขียนภาพนี้อยู่ถึง 3 ปีเต็มและที่สุดก็คุ้มค่าเหนื่อยเมื่อผลงานชิ้นนี้ก็เป็นที่ยกย่องว่าเป็นงานชิ้นเอกของโลกศิลปะอีกเช่นกัน

ตลอดช่วงชีวิตของอัจฉริยะนามว่าลีโอนาโด ดาวินชีนี้ เขาทำอะไรต่างๆ ไว้มากมาย นอกเหนือไปจากงานจิตรกรรม เขาเคยคิดจะทดลองบิน และอะไรอีกหลายต่อหลายอย่าง และนี่กระมังที่ทำให้ชื่อของเขา เป็นที่รู้จักของผู้คน ไม่ว่าจะกี่ยุค กี่สมัยแล้วก็ตาม.....

No comments: