Friday, February 1, 2008







ประวัติของวันขึ้นปีใหม่ของจีนมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในวัฒนธรรมอื่นๆ ความปรารถนาสิ่งที่เราหวังว่าจะได้ปรับปรุง หรือที่เราคิดทำเมื่อเริ่มต้นในปีใหม่ มาถึงตอนนี้ ถ้าไม่ถูกลืมก็ถูกยัดลงกล่องใส่ตู้ปิดตายและแปะหน้าตู้ว่าไม่แน่ เอาไว้ทำปีหน้าแล้วกันอย่างไรก็ดี ความหวังก็คงยังไม่สูญไปทั้งหมดเพราะโอกาสที่สองกำลังมาถึงแล้ว กับการฉลองวันปีใหม่จีนหรือที่เรารู้จักกันว่า ตรุษจีนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ นั้นเอง
ตรุษจีนนั้นคล้ายคลึงกับวันปีใหม่ในประเทศทางตะวันตก ร่องรอยของประเพณี และพิธีกรรมความเป็นมาของการฉลองตรุษจีน นั้นมีมานานกว่าศตวรรษ จริงๆแล้วนานมาก จนไม่สามารถย้อนกลับไปดูว่าเริ่มต้นฉลองมาตั้งแต่เมื่อไร เป็นที่รู้จักและจำได้ทั่วไปว่าเป็น การฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ และการฉลองเป็นเวลานานถึง 15 วัน การเตรียมงานฉลองส่วนใหญ่จะเริ่มหนึ่งเดือนก่อนวันตรุษจีน (คล้ายกับวัน คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) เมื่อผู้คนเริ่มซื้อของขวัญ, สิ่งต่างๆ เพื่อประดับบ้านเรือน, อาหารและเสื้อผ้า การทำความสะอาดครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นในวันก่อนตรุษจีน บ้านเรือนจะถูก ทำความสะอาดตั้งแต่บนลงล่างหน้าบ้านยันท้ายบ้าน ซึ่งหมายถึงการกวาดเอาโชคร้าย ออกไป ประตูหน้าต่างมีการขัดสีฉวีวรรณทาสีใหม่ซึ่งสีแดงเป็นสีนิยม ประตูหน้าต่างจะถูก ประดับประดาด้วยกระดาษที่มีคำอวยพรอย่างเช่น อยู่ดีมีสุข ร่ำรวย และอายุยืนเป็นต้น วันก่อนวันตรุษจีนนั้นเป็นวันแห่งการการรอคอยจะว่าไปถือวันที่น่าตื่นเต้นมากที่สุด ในบรรดาการฉลองทั้งหมดเห็นจะได้ ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ นั้นผูกไว้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ อาหาร ไปจนถึงเสื้อผ้า อาหารค่ำนั้นประกอบด้วยอาหารทะเล และอาหารนึ่งเช่นขนมจีบ ซึ่งแต่ละอย่างจะมีความหมายต่างๆกัน อาหารอันโอชะอย่างเช่นกุ้งจะหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรือง และความสุข เป๋าฮื้อแห้งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนำมาซึ่งโชคดี จี้ไช่ (ผมเทวดา) สาร่ายดูคล้ายผมแต่กินได้จะนำความความร่ำรวยมาให้ และขนมต้ม (Jiaozi) หมายถึงบรรพชนอวยพร และเป็นธรรมดาเสื้อผ้าที่ใส่สีแดงถือเป็นสีที่เป็นมงคลเป็นการไล่ปีศาจร้ายให้ออกไป และการใส่สีดำหรือขาวเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งสีเหล่านี้ถือว่าเป็นสีแห่งการไว้ทุกข์ หลังจากอาหารค่ำทุกคนในครอบครัวนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่ หรือดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับวันตรุษจีน และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ ไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง
เมื่อถึงวันตรุษจีน ประเพณีตั้งแต่โบราณมาเรียกว่า อังเปา ซึ่งหมายถึง กระเป๋าแดง เป็นการที่คู่แต่งงานให้เงินเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง หลังจากนั้นทุกคน ในครอบครัว ต่าง ออกมาเพื่อกล่าวสวัสดีปีใหม่ เริ่มจากญาติๆ แล้วต่อด้วยเพื่อนบ้าน ซึ่งคงคล้ายกับการที่ชาวตะวันตกพูดว่า "Let bygones be bygones" (อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป)

ในวันตรุษนี้ อารมณ์โมโหโกรธาจะถูกลืม และไม่สนใจ การฉลองวันตรุษจีนสิ้นสุดลงในงานโคมไฟ ซึ่งฉลองโดยการร้องเพลง เต้นรำ และงานแสดงโคมไฟ ถึงแม้ว่าการฉลองวันตรุษจีน จะมีแตกต่างกันออกไปแต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ การอวยพร ความสงบ และความสุขให้กับคนในครอบครัวและเพื่อนทุกคน

อาหารไหว้เจ้า
ในวันฉลองตรุษจีนอาหารจะถูกรับประทานมากกว่าวันไหนๆในปี อาหารชนิดต่างๆที่ปฏิบัติกันจนเป็นประเพณี จะถูกจัดเตรียมเพื่อญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง รวมไปถึงคนรู้จักที่ได้เสียไปแล้ว ในวันตรุษครอบครัวชาวจีนจะทานผักที่เรียกว่า ไช่ ถึงแม้ผักชนิดต่างๆที่นำมาปรุง จะเป็นเพียงรากหรือผักที่มีลักษณะเป็นเส้นใยหลายคนก็เชื่อว่าผักต่างๆมีความหมายที่เป็น มงคลในตัวของมัน
เม็ดบัว - มีความหมายถึง การมีลูกหลานที่เป็นชาย เกาลัด - มีความหมายถึง เงิน สาหร่ายดำ - คำของมันออกเสียงคล้าย ความร่ำรวย เต้าหู้หมักที่ทำจากถั่วแห้ง - คำของมันออกเสียงคล้าย เต็มไปด้วยความร่ำรวย และ ความสุข หน่อไม้ - คำของมันออกเสียงคล้าย คำอวยพรให้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุข เต้าหู้ที่ทำจากถั่วสดนั้นจะไม่นำมารวมกับอาหารในวันนี้เนื่องจากสีขาวซึ่งเป็นสีแห่งโชคร้าย สำหรับปีใหม่และหมายถึงการไว้ทุกข์ อาหารอื่นๆ รวมไปถึงปลาทั้งตัว เพื่อเป็นตัวแทนแห่งการอยู่ร่วมกัน และความอุดม- สมบรูณ์ และไก่สำหรับความเจริญก้าวหน้า ซึ่งไก่นั้นจะต้องยังมีหัว หางและเท้าอยู่ เพื่อ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ เส้นหมี่ก็ไม่ควรตัดเนื่องจากหมายถึงชีวิตที่ยืนยาว
ทางตอนใต้ของจีน จานที่นิยมที่สุดและทานมากที่สุดได้แก่ ข้าวเหนียวหวานนึ่ง บ๊ะจ่างหวาน ซึ่งถือเป็นอาหารอันโอชะ ทางเหนือ หมั่นโถ และติ่มซำ เป็นอาหารที่นิยม อาหารจำนวน มากที่ถูกตระเตรียมในเทศกาลนี้มีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์และความร่ำรวยของบ้าน
ความเชื่อโชคลางในวันตรุษจีน
ทุกคนจะไม่พูดคำหยาบหรือพูดคำที่ไม่เป็นมงคล ความหมายเป็นนัย และคำว่า สี่ ซึ่งออกเสียงคล้ายความตายก็จะต้องไม่พูดออกมา ต้องไม่มีการพูดถึงความตายหรือการใกล้ตาย และเรื่องผีสางเป็นเรื่องที่ต้องห้าม เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในปีเก่าๆ ก็จะไม่เอามาพูดถึง ซึ่งการพูดควรมีแต่เรื่องอนาคต และทุกอย่างที่ดีกับปีใหม่และการเริ่มต้นใหม่
หากคุณร้องไห้ในวันปีใหม่ คุณจะมีเรื่องเสียใจไปตลอดปี ดังนั้นแม้แต่เด็กดื้อที่ปฎิบัติตัวไม่ดีผู้ใหญ่ก็จะทน และไม่ตีสั่งสอน
การแต่งกายและความสะอาด ในวันตรุษจีนเราไม่ควรสระผมเพราะนั้นจะหมายถึงเราชะล้างความโชคดีของเราออกไป เสื้อผ้าสีแดงเป็นสีที่นิยมสวมใส่ในช่วงเทศกาลนี้ สีแดงถือเป็นสีสว่าง สีแห่งความสุข ซึ่งจะนำความสว่างและเจิดจ้ามาให้แก่ผู้สวมใส่ เชื่อกันว่าอารมณ์และการปฏิบัติตนในวันปีใหม่ จะส่งให้มีผลดีหรือผลร้ายได้ตลอดทั้งปี เด็ก ๆ และคนโสด เพื่อรวมไปถึงญาติใกล้ชิดจะได้ อังเปา ซึ่งเป็นซองสีแดงใส่ด้วย ธนบัตรใหม่เพื่อโชคดี

วันตรุษจีนกับความเชื่ออื่น ๆ สำหรับคนที่เชื่อโชคลางมากๆ ก่อนออกจากบ้านเพื่อไปเยี่ยมเยียนเพื่อนหรือญาติ อาจมีการเชิญซินแส เพื่อหาฤกษ์ที่เหมาะสมในการออกจากบ้านและทางที่จะไปเพื่อ เป็นความเป็นสิริมงคล

บุคคลแรกที่พบและคำพูดที่ได้ยินคำแรกของปีมีความหมายสำคัญมาก ถือว่าจะส่งให้มีผลได้ตลอดทั้งปี การได้ยินนกร้องเพลงหรือเห็นนกสีแดงหรือนกนางแอ่น ถือเป็นโชคดี
การเข้าไปหาใครในห้องนอนในวันตรุษ ถือเป็นโชคร้ายดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนป่วยก็ต้องแต่งตัวออกมานั่งในห้องรับแขก
ไม่ควรใช้มีดหรือกรรไกรในวันตรุษเพราะเชื่อว่าจะเป็นการตัดโชคดี ทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าชาวจีนทุกคนจะคงยังเชื่อตามความเชื่อที่มีมาแต่ทุกคนก็ยังคงยึดถือ และปฎิบัติตาม เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนธรรมเนียม และวัฒนธรรม โดยที่ชาวจีน ตระหนักดีว่าการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมมาแต่เก่าก่อนเป็นการแสดงถึงความเป็น ครอบครัวและเอกลักษณ์ ของตน
15 วันแห่งการฉลองตรุษจีน
วันแรกของปีใหม่ เป็นการต้อนรับเทวดาแห่งสวรรค์และโลก หลายคนงดทานเนื้อ ในวันนี้ด้วยความเชื่อที่ว่าจะเป็นการต่ออายุและนำมาซึ่งความสุขในชีวิตให้กับตน
วันที่สอง ชาวจีนจะไหว้บรรพชนและเทวดาทั้งหลาย และจะดีเป็นพิเศษกับสุนัข เลี้ยงดูให้ข้าวอาบ น้ำให้แก่มัน ด้วยเชื่อว่า วันที่สองนี้เป็นวันที่สุนัขเกิด
วันที่สามและสี่ เป็นวันของบุตรเขยที่จะต้องทำความเคารพแก่พ่อตาแม่ยายของตน
วันที่ห้า เรียกว่า พูวู ซึ่งวันนี้ทุกคนจะอยู่กับบ้านเพื่อต้อนรับการมาเยือน ของเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย ในวันนี้จะไม่มีใครไปเยี่ยมใครเพราะจะถือว่าเป็นการนำโชคร้าย มาแก่ทั้งสองฝ่าย
วันที่หก ถึงสิบชาวจีนจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของ ครอบครัว และไปวัดไปวาสวดมนต์เพื่อความร่ำรวยและความสุข
วันที่เจ็ด ของตุรุษจีนเป็นวันที่ชาวนานำเอาผลผลิตของตนออกมาชาวนาเหล่านี้จะทำน้ำที่ทำมาจากผักเจ็ดชนิดเพื่อฉลองวันนี้ วันที่เจ็ดถือเป็นวันเกิด ของมนุษย์ในวันนี้อาหารจะเป็น หมี่ซั่วกินเพื่อชีวิตที่ยาวนานและปลาดิบเพื่อความสำเร็จ
วันที่แปด ชาวฟูเจียน จะมีการทานอาหารร่วมกันกับครอบครอบอีกครั้ง และเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนทุกคนจะสวดมนต์ของพรจาก เทียนกง เทพแห่งสวรรค์
วันที่เก้า จะสวดมนต์ไหว้และถวายอาหารแก่ เง็กเซียนฮ่องเต้
วันที่สิบถึงวันที่สิบสอง เป็นวันของเพื่อนและญาติๆ ซึ่งควรเชื้อเชิญมาทานอาหารเย็น และหลังจากที่ทานอาหารที่อุดมไปด้วยความมัน วันที่สิบสามถือเป็นวันที่เราควรทานข้าวธรรมดากับผักดองกิมกิ ถือเป็นการชำระล้างร่างกาย วันที่สิบสี่ ความเป็นวันที่เตรียมงานฉลองโคมไฟซึ่งจะมีขึ้น ในคืนของ วันที่สิบห้า แห่งการฉลองตรุษจีน

Sunday, November 11, 2007

ครีมนวดผมสำคัญไฉน




ผมไม่มีน้ำหนัก จัดทรงยาก ชี้ฟู ไม่เป็นประกาย เปราะขาดง่าย จนถึงผมแห้งเสียแตกปลาย ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสุขภาพผมเข้าขั้นโคม่า ไปแล้วทุกที สาเหตุที่ทำให้เกิดผมแห้งเสียก็มีหลายประการ ทั้ง แสงแดด หรือความร้อนจากการไดร์ผม การหนีบผม หรือสารเคมี ที่เกิดการย้อมผม ทำไฮไลต์ ดัดผม ฯลฯ ดังนั้น เมื่อเส้นผมส่วนที่งอกออกมาจากรากผมนั้นถือว่าเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว จึงไม่สามารถสมานแผล หรือรักษาตัวเองได้เหมือนกับเซลล์ผิวหนัง และจำเป็นต้องได้รับการดูแลและปกป้องจากปัจจัยต่างๆ ที่ทำร้ายผม หนึ่งในวิธีการดูแลสุขภาพเส้นผมด้วยตนเองง่ายๆ ทำได้ที่บ้าน นั่นก็คือ การเลือกใช้ “ครีมนวดผม” หรือ “คอนดิชั่นเนอร์” นั่นเอง ล่าสุด โดฟ ได้พัฒนา “โดฟ ครีมคอนดิชั่นเนอร์ ใหม่” ขึ้นเพื่อตอบโจทย์สาวที่มีปัญหาผมแห้งเสีย เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุดยิ่งขึ้นด้วย จตุรพร สรรพวัฒน์ Product Development Manager บจก.ยูนิลีเวอร์ไทย กล่าวถึงความสำคัญของ “ครีมนวดผม” ว่า ถ้าใช้เป็นประจำทุกครั้งหลังสระผมจะช่วยคืนความชุ่มชื้นสู่เส้นผม และสมานรอยแตกของเส้นใยผมที่แห้งเสีย พร้อมสร้างเกราะบางๆ ปิดเกล็ดผม ป้องกันไม่ให้ผมถูกทำลายได้ง่าย เกราะที่สร้างขึ้นนี้จะทำหน้าที่เหมือนสารหล่อลื่นให้กับเส้นผม ผมจึงกลับชุ่มชื้น นุ่มลื่น ไม่พันกัน สำหรับวิธีเลือกคอนดิชันเนอร์ให้เหมาะกับสภาพเส้นผมของตนเองนั้น ถ้าผมแห้งก็ควรจะใช้สูตรที่มีความเข้มข้นของคอนดิชันนิ่งมากกว่าคนที่ผมมัน หรือผมแห้งเสียควรเลือกใช้สูตรที่มีส่วนผสมเข้มข้นพิเศษเพื่อการฟื้นฟูผมแห้งเสียสะสม ที่ผ่านการดัดยืด หรือทำสี ช่วยซ่อมแซมผมแห้งเสียสะสมตลอดทั้งเส้นผม เป็นต้น “ไม่ว่าคุณจะมีสภาพเส้นผมแบบไหน ก็ควรจะใช้ครีมนวดผมหลังสระทุกครั้ง แต่สิ่งสำคัญคือควรจะเลือกใช้ครีมนวดผมให้เหมาะกับสภาพเส้นผมของตนเอง แม้แต่ผมธรรมดาซึ่งมีสุขภาพเส้นผมดีอยู่แล้ว ก็ควรใช้เป็นประจำด้วย เพื่อเพิ่มเกราะป้องกันให้กับเส้นผมจากมลภาวะต่างๆ ผมจะได้แข็งแรงอยู่เสมอ” ส่วนวิธีใช้ครีมนวดผมที่ถูกวิธีนั้น ควรชโลมตั้งแต่ตรงกลางผมลงไปถึงปลายผม ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ครีมนวดผมให้ทั่วเส้นผมแล้วทิ้งไว้ 1-2 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็นตั้งแต่โคนไปสู่ปลายเส้นผม ซึ่งจะช่วยปิดเกล็ดผมและเก็บกักความชุ่มชื้นไว้ภายใน แต่สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งก็คือ ไม่ควรชโลมครีมนวดผมลงที่หนังศีรษะเป็นอันขาด เพราะจะทำให้หนังศีรษะมัน รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการนวดหนังศีรษะ เพราะครีมนวดนั้นถูกออกแบบมาให้บำรุงเฉพาะเส้นผม นอกจากทำความสะอาดผมเป็นประจำแล้ว ควรหมั่นอบไอน้ำและทำทรีทเมนต์ เดือนละ 1-2 ครั้ง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณหนังศีรษะและบำรุงเส้นผมอย่างล้ำลึก รวมทั้งยังเป็นการทำให้ผมได้พักผ่อนอีกด้วย นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงความเครียด เพราะอาจจะทำให้ผมร่วง ส่วนอาหารที่รับประทานก็มีผลต่อผม โดยเฉพาะ หนังศีรษะที่ช่วยห่อหุ้มรากผมและบำรุงเลี้ยงผมให้สมบูรณ์ สารอาหารหลักๆ ที่มีคุณค่าต่อผม ได้แก่ ไอโอดีน เช่น สาหร่าย หอย กุ้ง สับปะรด และกระเทียม เป็นต้น ซิลิคอน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวแดง แตงกวา สตรอเบอรี หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำปลี และผักกาดหอม กำมะถัน เช่น หัวไชเท้า หัวหอมใหญ่ หอมแดง และแอปเปิ้ล รวมทั้งในกลุ่มธาตุเหล็กและแมงกานีส ก็เช่นเดียวกัน

Wednesday, October 17, 2007

ถูกนินทาว่าร้าย ทำอย่างไรจึงจะหายทุกข์

1. เป็นธรรมดาของโลก ให้คิดว่านี่เป็นธรรมดาของโลก ไม่เคยมีใครสักคนบนโลกนี้ที่รอดพ้นจากคำนินทา เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าของเรา ขนาดท่านเป็นผู้ที่ประเสริฐบริสุทธิ์สูงสุด แต่ท่านก็ยังไม่พ้นถูกคนพาลกล่าวโจมตีว่าร้ายจนได้ แล้วนับประสาอะไรกับเราที่เป็นแค่คนธรรมดาสามัญที่ยังมีทั้งดีและชั่วจะรอดพ้นปากคนนินทาไปได้ คิดอย่างนี้แล้วจะได้สบายใจว่า การถูกนินทานี่เป็นแค่เรื่องธรรมดา เกิดขึ้นมาพร้อมกับโลก (โลกธรรม) และ ยังคงมีอยู่ต่อไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย 2. ให้มีจิตใจมั่นคงดุจภูผาถ้าเรามีความบริสุทธิ์ใจ ทำการงานด้วยความตั้งใจปรารถนาดี แต่แล้วก็ยังไม่พ้นถูกคนนินทา กล่าวร้ายว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ขอให้เรามีความมั่นใจในความดีของเรา อุปมาภูผาหินแท่งตันไม่หวั่นไหวในลมพายุฉันใด บัณฑิตผู้มีจิตใจหนักแน่นในความดี ย่อมไม่หวั่นไหวในคำสรรเสริญ และ คำนินทาแม้ฉันนั้น 3. ให้มีจิตเมตตาสงสารผู้นินทาให้คิดด้วยความเมตตากรุณาว่า คนที่นินทาเรานั้น ย่อมกระทำไปด้วยความอิจฉาริษยา เขาจะต้องเผาลนจิตใจของเขาให้ร้อนรุ่มเสียก่อน จึงจะสามารถพูดนินทาว่าร้ายคนอื่นออกมาได้ ให้คิดเมตตาสงสาร แทนที่จะไปโกรธเคืองเขา อนึ่ง คนที่ชอบกล่าววาจาส่อเสียด หรือ ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น โดยปรกติเขาย่อมเป็นผู้หามิตรสหายที่ใกล้ชิดไม่ค่อยได้ เพราะไม่เคยมีใครไว้วางใจคนที่ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น ให้คิดเห็นใจเขาในฐานะที่เขาต้องเป็นผู้อยู่ในโลกนี้ด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะเขาย่อมหาเพื่อนแท้ไม่ได้ 4. คิดหาประโยชน์จากคำนินทาคนที่คิดกล่าวร้ายเรา บางทีเขาต้องไปนั่งคิดนอนคิดหาจุดอ่อนในตัวของเรา เพื่อเอามาพูดโจมตี บางทีจุดอ่อนเหล่านี้ตัวเราเองก็มีอยู่จริงแต่ทว่าเราไม่รู้ตัวมาก่อน นี้เป็นประโยชน์มาก เพราะเราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาพัฒนาปรับปรุงตนเองได้ ดังนั้นเราจึงควรที่จะขอบคุณคนนินทาเรา เพราะเขาอุตส่าห์ไปนั่งคิดนอนคิดช่วยค้นหาข้อมูลมาช่วยให้เราปรับปรุงตนเอง 5. คิดวิเคราะห์ให้เห็นปัญหาสังคมสังคมไทยเป็นสังคมที่มีความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง คือเน้นเรื่องการใช้อำนาจครอบงำกันและกัน จึงมีการปลูกฝังสอนให้คิดแข่งดีแข่งเด่น คิดเหนือผู้อื่น สอนให้อยากเป็นใหญ่เป็นโต (มานะ) มาตั้งแต่โบราณ (คาดว่าไม่ต่ำกว่าห้าร้อยปี คือตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น) ทำให้คนไทยเรา เวลาเห็นใครทำดี ก็มักจะเกิดความริษยาโดยไม่รู้ตัว คือทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่นดีกว่าตน สังคมที่มีความสัมพันธ์ในแนวดิ่งเช่นนี้ ผู้คนจึงมักจะชอบนินทาว่าร้ายกันและกันเป็นเรื่องธรรมดาถ้าคิดวิเคราะห์ได้เช่นนี้แล้วก็สบายใจ ไม่ต้องไปเดือดเนื้อร้อนใจอะไรมาก ให้ถือว่าการที่เราถูกนินทานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางสังคมก็แล้วกัน มันเป็นเช่นนั้นเอง ในอนาคตไม่แน่ หากมีการศึกษาเรื่องพุทธธรรมกับสังคมไทยกันอย่างจริงจัง บางทีเราอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมจาก “แนวดิ่ง” ให้เป็น “แนวราบ” คือ คนไทยมีความเสมอภาคกัน ไม่ถืออำนาจเป็นใหญ่ แต่ถือความถูกต้องดีงามเป็นใหญ่ เมื่อถึงเวลานั้นสังคมที่เต็มไปด้วยการนินทาว่าร้ายก็จะลดน้อยลงไปเองตามธรรมชาติ แล้วภาษิตยอดฮิตที่ว่า “สังคมเสื่อมถอยเพราะคนดีท้อแท้” หรือ “ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย” จะได้เลิกใช้กันเสียที

Saturday, September 22, 2007












เพื่อให้ผู้บริโภคได้นิยมสมัยนี้มนุษย์รู้จักคิดค้นประดิษฐ์สิ่งต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่เรา และเพื่อให้ทันกับยุคสมัยนี้ เป็นยุคที่เร่งรีบและมีการแข่งขันที่สูงมาก ดังนั้นผู้ผลิตจึงค้นหาไอเดียต่างๆมานำเสนอ เลือกใช้ มีมากนับไม่ถ้วน ดั่งเช่นเทคโนโลยีเครื่องนี้ ที่สามารถทำให้ความฝันของมนุษย์ที่อยากจะบินนั้น ไม่ต้องเป็นความฝันอีกต่อไป

Sunday, September 16, 2007

กำเนิดปากกา

กำเนิดปากกา

นอกจากตัวอักษรหรือตัวหนังสือซึ่งมนุษย์ได้คิดประดิษฐ์ขึ้นมาใช้แล้ว " เครื่องมือ " หรือ " อุปกรณ์ " ที่ใช้สำหรับการขีดเขียนก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะกว่าที่เราจะเขียนหนังสือด้วย "ปากกา " หรือ " ดินสอ " ดังเช่นในปัจจุบันนี้ มนุษย์ต้องใช้เวลาในการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการขีดเขียนเป็นเวลานานหลายพันปี ในยุคอดีตมนุษย์อาจจะใช้นิ้วจุ่มดินหรือหินสี ที่บดเป็นผงผสมกับยางไม้ หรือกาวจากหนังสัตว์ ขีดเขียนบนผนังถ้ำหรือเพิงผา ต่อมาอาจใช้ ดิน หิน ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม โดยการนำมาฝนหรือทำให้เป็นแท่งเพื่อความสะดวกในการขีดเขียน เช่น นำหินชนวนมาทำเป็นดินสอหิน สำหรับเขียนบนกระดานชนวน หรือการทำชอล์กจากผงแคลเซียมซัลเฟต จากเกลือจืด หรือยิปซัมผสมน้ำ แล้วทำให้เป็นแท่งเพื่อสะดวกในการใช้งาน เช่นในปัจจุบันนี้ วิวัฒนาการของการเขียน จากการเขียนบนฝาผนังถ้ำ นำมาสู่การเขียนบนแผ่นไม้หรือแผ่นโลหะ ตลอดถึงการเขียนบนใบไม้ (เขียนหรือจารคัมภีร์โบราณลงบนใบลาน) มาจนถึงการประดิษฐ์กระดาษขึ้นใช้ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ มนุษย์ได้มีการพัฒนาเครื่องมือและกรรมวิธีในการเขียนมาอย่างต่อเนื่อง ชาวอียิปต์โบราณเป็นชาติแรกที่ใช้แปรงเขียนหนังสือบนแผ่นกระดาษที่ทำจากต้นปาปิรุส (papyrus) เป็นการเริ่มต้นวิธีการเขียนด้วยการปล่อยหมึกหรือสีบนแผ่นรองเขียน เช่นเดียวกับการเขียนหนังสือด้วยพู่กันของจีนและญี่ปุ่น ซึ่งอาจเป็นแนวความคิดเบื้องต้นที่พัฒนาไปสู่การประดิษฐ์ปากกา ชาวกรีกโบราณประดิษฐ์ปากกาขึ้นจากต้นกกไส้กลวง โดยการปาดให้มีปากหลายๆแบบ ทำให้เขียนเส้นได้หลายขนาด ปากกานี้ไม่ใช้หมึกแต่ใช้เขียนบนผิวไม้ที่เคลือบขี้ผึ้งไว้ ทำให้เกิดรอยเป็นตัวอักษรบนผิวขี้ผึ้ง "ปากกาแพร่หลายในอังกฤษ" การนำวัสดุผิวเรียบมาเป็นสิ่งรองเขียนก่อให้เกิดการพัฒนา " เครื่องเขียน " ที่มีระสิทธิ ภาพสอดคล้องกับการใช้สอย มนุษย์เริ่มนำขนนกหรือขนห่านมาทำเป็น " ปากกา " เรียกว่า " ปากไก่ " สามารถเขียนได้คมชัดและเขียนติดต่อกันได้นาน ในศตวรรษที่ 5 " ปากไก่ " เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ นับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการเขียนหนังสือของชาวตะวันตก ในขณะที่ชาวตะวันออกยังนิยมใช้พู่กันไม้อยู่ แต่ทั้ง "ปากไก่" และ "พู่กัน" ไม่มีหมึกในตัวเอง ต้องจุ่มหมึกทุกครั้งที่ใช้เขียนทำให้เขียนได้ไม่สะดวก ต่อมาประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15 มนุษย์เริ่มประดิษฐ์ " ปากกา " ที่มีปากเป็นโลหะและมีรอยผ่าตรงกลางปาก ทำให้เขียนได้นานโดยไม่ต้องจุ่มหมึกทุกครั้งที่เขียน ในประเทศอังกฤษมีการทำปากกาชนิดนี้ขึ้นใช้กันอย่างแพร่หลาย มีการผลิต " ปากกา " ที่ปลายปากทำด้วยวัสดุต่างๆกัน เช่น เขาสัตว์ เปลือกหอย เหล็กและทอง มีการผลิตกันมากขึ้นจนกลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรม แข่งขันกันในเรื่องของความสวยงาม พร้อมกับประดิษฐ์กล่องและที่ใส่หมึกควบคู่ไปกับปากกาด้วย แม้ว่าจะได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถประดิษฐ์ปากกาที่มีหมึกในตัวเองได้ "บิดาแห่งการประดิษฐ์ปากกาหมึกซึม" ปี ค.ศ. 1884 Lewis Edson Waterman ได้ผลิตปากกาที่มีหมึกในตัว เรียกว่า " ปากกาหมึกซึม " (Fountain pen ) ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงถือว่า Waterman เป็นบิดาแห่งการประดิษฐ์ปากกาหมึกซึม มีการคิดค้นพัฒนาปากกาชนิดนี้ให้มีคุณภาพดีขึ้น สะดวกในการใช้งานและมีรูปทรงสวยงาม ผลิตในระดับอุตสาหกรรมทั้งในอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ สืบต่อมาจนถึงในปัจจุบัน มีนักประดิษฐ์ปากกาที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี อาทิเช่น George Parker, Walter A. Sheaffer เป็นต้น และได้ครอบครองความเป็นจ้าวแห่งเครื่องมือสำหรับการเขียนมาโดยตลอดเป็นเวลานานหลายสิบปี ในปี ค.ศ. 1900 " ปากกาหมึกซึม " ได้พบคู่แข่งใหม่นั่นก็คือ " ปากกาลูกลื่น " ปากกาที่มีลูกกลิ้ง ( Ball ) กลมๆเล็กๆ อยู่ที่ปลายปาก เวลาเขียนลูกกลมๆเล็กๆนี้จะหมุน ( กลิ้ง ) ทำให้หมึกออกมาติดบนกระดาษ ปากกาชนิดนี้เกิดขึ้นมาประมาณ 100 กว่าปีมาแล้ว โดยชาวอเมริกาชื่อ จอห์น เอช. ลาวด์ เป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้ขีดเขียนบนพื้นที่หยาบๆ ซึ่งไม่ใช่กระดาษ ปลายปี ค.ศ. 1930 นักหนังสือพิมพ์และศิลปินชาวฮังกาเรียน ชื่อ ไบโร ได้ประดิษฐ์ปากกาลูกลื่นขึ้นมาใหม่ ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นบรรณาธิการนิตยสารฉบับหนึ่ง ที่กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ไบโรได้เกิดแนวความคิดจากหมึกแห้ง ( Quick - drying ink ) ที่ช่างพิมพ์ในโรงพิมพ์นั้นใช้พิมพ์หนังสือ จึงคิดหาวิธีนำหมึกชนิดนี้มาบรรจุลงในปากกา โดยที่หมึกจะไม่ไหลและหยดออกมาจนเปื้อนกระดาษ ในที่สุดก็ประดิษฐ์ปากกาที่ใช้หมึกแห้งขึ้นมาจนเป็นผลสำเร็จ ซึ่งก็คือ " ปากกาลูกลื่น " ( Ball - point pen ) สามารถใช้ขีดเขียนโดยไม่มีหมึกหยดและไหลเปรอะเปื้อนเหมือนปากกาหมึกซึมแบบเก่า เส้นทางของปากกาลูกลื่น ปี ค.ศ. 1938 ไบโรได้ทำการจดทะเบียนสงวนลิขสิทธิ์ แต่ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นมาก่อน เขาจึงได้หนีนาซีไปอยู่ที่ฝรั่งเศส สเปน และเร่ร่อนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไปอยู่ที่ประเทศอาร์เจนตินา ต้นปี ค.ศ. 1940 ณ กรุงบัวโนส ไอเรส ไบโรได้รับความช่วยเหลือจากพี่ชายซึ่งเป็นนักเคมีผลิตปากกาลูกลื่นออกจำหน่าย แต่เนื่องจากขาดทุนทรัพย์ เขาจึงขายลิขสิทธิ์สิ่งประดิษฐ์นี้ให้กับราชการทหารของอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในราคาไม่กี่เหรียญ ภายหลังลิขสิทธิ์ได้ถูกขายต่อให้กับบริษัท BIC ( ของฝรั่งเศส ) ทำการผลิตปากกาลูกลื่นยี่ห้อ BIC ออกจำหน่ายไปทั่วโลก ในระหว่างปี ค.ศ. 1950 - 1980 สามารถจำหน่ายได้กว่า 10 ล้านด้าม / วัน ในขณะเดียวกับที่ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ที่แท้จริงกลับไม่ประสบกับความสำเร็จในชีวิต สิ่งที่คงเหลืออยู่ก็คือความภูมิใจในสิ่งประดิษฐ์ที่คนทั่วโลกรู้จักและใช้ประโยชน์มาตราบเท่าทุกวันนี้

Saturday, August 11, 2007

คนแรกของโลก

ผู้ที่เชื่อว่าโลกกลม และเป็นผู้ค้นพบอเมริกาคนแรกเป็นชาวอะไร ค้นพบโดยวิธีใด (ชาวอิตาลี ชื่อ โคลัมบัส เป็นนักเดินเรือ พบอเมริกาโดยเดินเรือชื่อ ซานตามาเรีย)
ผู้ที่เดินเรือรอบโลกสำเร็จเป็นคนแรก (เฟอร์ดินันท์ แมคเจลแลนด์ ชาวโปรตุเกส)
ผู้ค้นพบหมู่เกาะฟิลิปปินส์เป็นคนแรก (เฟอร์ดินันท์ แมคเจลแลนด์)
ผู้ค้นพบเกาะฮาวายเป็นคนแรก (กัปตันคุก นักเดินเรือชาวอังกฤษ)
นักท่องเที่ยวชาวเวนิชคนแรกที่เดินทางไปประเทศจีน สมัยพระเจ้ากุบไลข่าน คือ (มาร์โคโปโล)
นักเดินเรือคนแรกที่เดินทางไปถึงทวีปอเมริกา (อเมริโกเวสปุสชี)
ผู้ที่สามารถเดินทางอ้อมแหลมกู๊ดโฮปไปถึงอินเดียสำเร็จเป็นคนแรก (วาสโกดา กามา นักเดินเรือชาวฝรั่งเศส)
ผู้ที่สามารถเดินทางไปถึงเกาะออสเตรเลียเป็นคนแรก (จันสซ์ นักสำรวจชาวฮอลันดา)
ผู้ที่พบมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นคนแรก (บัลบัว นักสำรวจชาวสเปน)
ผู้ที่พบเม็กซิโกเป็นคนแรก (เฮอร์แมน โคเคอเตส ชาวสเปน)
ผู้ที่พบฟลอริดาเป็นคยแรก (ลีออน ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2064)
ผู้ที่พบคองโกเป็นคนแรก (เฮนลีย์ แสตนเล่ย์ ชาวอังกฤษ)
ผู้ที่พบอียิปต์เป็นคนแรก (เจมส์ บรู๊ค ชาวอังกฤษ)
ผู้ที่ค้นพบขั้วโลกเหนือของแม่เหล็กอยู่ทางตอนเหนือของแคนนาดา (เจมส์ คล้าก รอสส์ ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2374)
ผู้ที่ค้นพบขั้วโลกใต้ของแม่เหล็กอยู่ทางตอนใต้ของ South Victoria (ดักลาส มอสัน ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2452)
ผู้ที่สำรวจขั้วโลกใต้สำเร็จเป็นคนแรก (โรลด์ อิมุนเสน ชาวนอรเวย์)
ผู้ประดิษฐ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเป็นคนแรก (ไมเคิล ฟาราเดย์ ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2374)
ผู้ประดิษฐ์รถแทร็กเตอร์เป็นคนแรก (เบนจามิน ฮอลด์ ชาวอเมริกา ในปี พ.ศ.2443)
ผู้ประดิษฐ์แบตเตอรี่เป็นคนแรก (อเล็กซานโดร โวลตา ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2342)
ผู้ประดิษฐ์สไลด์รูลเป็นคนแรก (ออเทรด ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2163)
ผู้ประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำเป็นคนแรก (เจมส์ วัตต์ ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2312)
ผู้ประดิษฐ์เครื่องยนต์ไฟฟ้าเป็นคนแรก (ออตโต ฟอน กูริค ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2180)
ผู้ประดิษฐ์เครื่องกิโยตินเป็นคนแรก (อังตวนหลุย ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2335)
ผู้ประดิษฐ์ตะเกียงเจ้าพายุเป็นคนแรก (เชอร์ ฮัมฟรี เดวีย์ ชาวอังกฤษ)
ผู้ที่ใช้ปรอททำเทอร์โมมิเตอร์เป็นคนแรก (กาเบรียล ดาเนียล ฟาเรนไฮต์ ชาวเยอรมัน)
ผู้ประดิษฐ์กล้องโทรทัศน์เป็นคนแรก (กาลิเลโอ ชาวอิตาลี)
ผู้ประดิษฐ์เครื่องยนต์ใช้น้ำมันแก๊สโซลีนเป็นคนแรก (เดมเลอร์)
ผู้ประดิษฐ์ไฟฟ้า เครื่องบันทึกเสียง จานเสียง เป็นคนแรก (โทมัส อัลวา เอดิสัน ชาวอเมริกา)
ผู้ประดิษฐ์กลจักรรถไฟเป็นคนแรก (ยอร์จ สตีเฟนสัน ชาวอังกฤษ)
ผู้ประดิษฐ์ลูกบอลลูนเป็นคนแรก (โยเซฟ และเอเตียน มองต์โกลฟิเอร์ ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2326)
ผู้ประดิษฐ์เครื่องบินไอพ่นเป็นคนแรก (แฟรงค์ วิตเติล ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2480)
ผู้ประดิษฐ์เครื่องบินเป็นคนแรก (สองพี่น้องตระกูลไรท์ คือ วิลเบอร์ ไรท์ และออร์วิล ไรท์ ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2446)
ผู้ประดิษฐ์เฮลิคอปเตอร์ และเครื่องบินสี่เครื่องยนต์เป็นคนแรก (อิกอร์ อิวาน โนวิซซี คอร์สกี้ ชาวรัสเซีย ในปี พ.ศ.2482)
ผู้ประดิษฐ์เครื่องกลไฟเป็รคนแรก (โรเบิร์ต ฟุลสตัน ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2350)
ผู้ประดิษฐ์เครื่องส่งโทรเลขเป็นคนแรก ( แซมมวล มอร์ส ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2387)
ผู้ประดิษฐ์เครื่องโทรศัพท์เป็นคนแรก (อเล็กซานเดอร์ เกรแฮมเบลล์ ชาวสก๊อต ในปี พ.ศ.2418)
ผู้ประดิษฐ์วิทยุเป็นคนแรก (มาร์โคนี ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2422)
ผู้พบไฟฟ้าในอากาศ และประดิษฐ์สายล่อฟ้า เป็นคนแรก (เบนจามิน แฟรงคลิน ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2295)
ผู้ประดิษฐ์นาฬิกาเดินเรือเป็นคนแรก (ทอร์รา เชลลี ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2151-2190)
ผู้ประดิษฐ์เข็มทิศเป็นคนแรก (จอห์น แฮริสัน ชาวอังกฤษ)
ผู้ประดิษฐ์แท่นพิมพ์สำเร็จเป็นคนแรก (วิลเลียม แคกซ์ตัน ชาวอังกฤษ)
ผู้ประดิษฐ์บารอมิเตอร์เป็นคนแรก (วิลเลียม ทอมสันเคลวิน ชาวอังกฤษ)
ผู้ประดิษฐ์เลนส์พิเศษสำหรับภาพยนตร์จอกว้างแบบซิเนมาสโคปคือ (อังรี เครเตียน ชาวฝรั่งเศส)
ผู้ประดิษฐ์กล้องและฟิล์มถ่ายรูปสำเร็จเป็นคนแรก (โทมัส เวดจ์วู๊ด ชาวอังกฤษ)
ชาติใดประดิษฐ์ตัวอักษรเป็นชาติแรกของโลก (อียิปต์)
ผู้ประดิษฐ์เครื่องวัดเวอร์เนียร์คือ (ปีแอร์ เวอร์เนียร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส)
ผู้ประดิษฐ์ตะเกียงบุนเสนคือ (โรเบิร์ต วิลเฮล์ม บุนเสน ชาวเยอรมัน)
ผู้ประดิษฐ์นาฬิกาแดดเป็นคนแรก (อแน็ค ซิเมเดอร์ นักปรัชญาชาวกรีก)
ผู้ประดิษฐ์ฝนเทียมสำเร็จเป็นคนแรก (เออร์วิง แลงมัว ชาวอเมริกัน)
ผู้ประดิษฐ์กล้องโกดักเป็นคนแรก (ยอร์จ อีสต์แมน ชาวอเมริกา)
ผู้ให้กำเนิดการวัดด้วยหลาคือ (พระเจ้าเฮนรี่ที่ 1 แห่งอังกฤษ)
ผู้ให้กำเนิดการวัดด้วยฟุตคือ (พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส)
ผู้ประดิษฐ์ปากกาสำหรับเขียนหนังสือคือ (แฮริสัน ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2323)
ผู้ประดิษฐ์นาฬิกาไขลานคือ (เฮอร์ลิบ ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2020)
ผู้ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีดคือ (คูเตนเบิร์ก ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2000)
ผู้ประดิษฐ์เรือเหาะเป็นคนแรก (กิฟฟาร์ด ชาวฝรั่งเศส)
ผู้ประดิษฐ์เครื่องดับเพลิงเป็นคนแรก (โจเซฟ บรามาส์ ชาวอังกฤษ)
ผู้ประดิษฐ์เหล็กกล้าจากเหล็กหล่อเป็นคนแรก (เฮนรี่ เบสเซมเบอร์ ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2399)
ผู้ประดิษฐ์เตารีดไฟฟ้าเป็นคนแรก (โรเบิร์ต แฮร์ ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2324)
ผู้ประดิษฐ์กระติกน้ำร้อน และกระติกน้ำแข็งเป็นคนแรก (เดวาร์ ชาวสก็อต)
ผู้ที่รู้จักคานงัด คานดีด เขากล่าวว่า "ถ้าข้าพเจ้าสามารถออกไปยืนนอกโลกได้ เขาสามารถใช้คานงัดโลก เขาสามารถใช้คานงัดโลกให้ กระเด็นได้" คือ (อาร์คี เมดิส)
ผู้ประดิษฐ์ชวเลขแบบเกร๊กก์เป็นคนแรก (จอห์น โรเบิร์ต เกร๊กก์ ชาวอังกฤษ)
ผู้ที่พบกฎของความต้านทานไฟฟ้า วึ่งตั้งชื่อว่ากฎของโอห์มคือ (ยอร์จ ซิมมอล โอห์ม นักฟิสิกส์ ชาวเยอรมัน)
ผู้ที่พบว่าราที่ชื่อว่าเพ็นนิซิเลียม สามารถนำมาทำเป็นยาเพนนิซิลิน สำหรับแก้หนองได้ (อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง)
ผู้ที่พบวิธีป้องกันและรักษาโรคอหิวาตกโรคไข้เหลืองกามโรค โรคกลัวน้ำและการฉ๊ดวัคซีนเป็นคนแรก (หลุยส์ ปาสเตอร์ ชาวฝรั่งเศส)
ผู้ที่พิสูจน์ว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการฆ่าเชื้อโรคก่อนทำการผ่าตัด (โยเซฟ ลิสเตอร์ ชาวอังกฤษ)
ผู้ที่พบวงจรโลหิตเป็นคนแรกในโลก (วิลเลียม ฮาร์วี นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ)
ผู้ที่พบกฎการดึงดูดของโลก (เซอร์ ไอ แซคนิวตัน)
หน่วยวัดกระแสไฟฟ้า ตั้งตามชื่อของ (อังเดรมารีแอมแปร์ ชาวฝรั่งเศส)
นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่เชื้อชาติเยอรมัน ผู้ตั้งทฤษฎีสัมพันธภาพคือ (อัลเบิร์ต ไอน์สไตลน์)
ผู้คิดวิชาเรขาคณิตขึ้นเป็นชาติแรก (ยุคลิด นักคำนวณ ชาวกรีก)
ผู้ได้ชื่อว่า เป็นผู้ริเริ่มการพยาบาลแผนใหม่คือ (ฟลอเรนซ์ ไนติงเกิล สตรีชาวอังกฤษ)
ผู้คิดและประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ยางเป็นคนแรกคือ (ชาร์ลส์ กู๊ดเยียร์ ชาวอเมริกัน)
ผู้ประดิษฐ์จรวดเป็นคนแรก (ดร. โรเบิร์ต ฮัทชิงส์ นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน)
ผู้ที่ค้นพบกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าคนแรกของโลก (ไฮน์ริช เฮอร์ท นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน)
ผู้ที่ค้นพบแสงเอ๊กซเรย์เป็นคนแรก (วิลเฮล์ม เรินก์เก็น ชาวเยอรมัน)
ผู้ที่ค้นพบวิธีปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษเป็นคนแรก (เอดเวิร์ด เจนเนอร์ ชาวอังกฤษ)
ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น บิดาของทฤษฎีปรมาณูคือ (เดวิด บอห์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเดนมาร์ก)
ผู้ประดิษฐ์ภาพยนตร์เป็นคนแรก (วิลเลี่ยม ฟรีสกรีน ชาวอเมริกัน)
ผู้ให้กำเนิดวิชาทำแผนที่เป็นคนแรกคือ (อแน็ค ซิมิเตอร์ นักปรัชญาชาวกรีก)
ผู้ให้กำเนิดวิชาเรขาคณิตเป็นคนแรกของโลก (ปีทากอรัส ชาวกรีก)
ผู้ประดิษฐ์ยางดันล็อป (ดันล็อป ชาวอังกฤษ)
ผู้ค้นพบออกซิเจนเป็นคนแรก (โจเซฟ เพรสเล่ย์ ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2317)
ผู้ค้นพบไนโตรเจนเป็นคนแรก (ดาเนียล รัทเธอร์ฟอร์ด ชาวสก๊อต ในปี พ.ศ.2315)
ผู้ค้นพบฮีเลียมเป็นคนแรก (เชอร์วิลเลี่ยม แรมเชย์ ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2438)
ผู้ค้นพบโซเดียมเป็นคนแรก (ดูฮัมเมล เดอมอลซิน ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2309)
ผู้ค้นพบธาตุเรเดียมเป็นคนแรก (ปีแอร์ และมาดามคูรี ชาวโปแลนด์ ในปี พ.ศ.2441)
ผู้ค้นพบโปตัสเซียมเป็นคนแรก (เซอร์ฮัมฟรีเดวีย์ ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2350)
ผู้ค้นพบธาตุแคลเซียมเป็นคนแรก (เซอร์ฮัมฟรีเดวีย์ ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2351)
ผู้ค้นพบธาตุแบเรียมเป็นคนแรก (เซอร์ฮัมฟรีเดวีย์ ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2351)
ผู้ค้นพบแมงกานีสเป็นคนแรก (โยฮันน์ กัม ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2317)
ผู้ค้นพบนิเกิลเป็นคนแรก (เซอร์ วิลเลี่ยม ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2441)
ผู้ค้นพบธาตุยูเรเนียมเป็นคนแรก (มาร์ติน แครมพร็อธ ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2332)
ผู้ค้นพบธาตุอาร์กอนเป็นคนแรก (ลอร์ดราเลย์ และเซอร์วิลเลี่ยม แลมเชย์ ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2437)
ผู้ค้นพบคลอรีนเป็นคนแรก (คาร์ลสคีล ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2317)
ผู้ค้นพบไฮโดรเจนเป็นคนแรก (เฮนรี คาเวนดีช ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2309)
ผู้ค้นพบแมกนีเซียมเป็นคนแรก (โจเซฟ แบล็ค ชาวสก๊อต ในปี พ.ศ. 2298)
ผู้ที่ไต่ถึงยอดเขาเอเวอร์เรสต์สำเร็จเป็นคนแรก (พ.อ.จอห์นฮันต์ นักสำรวจชาวอังกฤษ)
ผู้ที่ได้รับสมญานามว่า "ราชาหนังสือพิมพ์" เป็นคนแรก (ลอร์ด นอธคลิฟ ชาวอังกฤษ)
ผู้ให้กำเนิดกีฬาโอลิมปิคคือ (บารอน ปีแอร์ เดอคู แปร์แดง จัดครั้งแรกที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีก)
ผู้ที่ให้กำเนิดไปรษณีย์เป็นคนแรก (พระเจ้าไซรัสมหาราช แห่งเปอร์เซีย)
ผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นราชาการ์ตูน (วอลเทอร์ ดิสนีย์ ชาวอเมริกัน)
สตรีคนแรกที่ได้รับเลือกเป็นประธานสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (นางวิชัยลักษณมี บัณฑิตแห่งอินเดีย)
ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดดาราศาสตร์สมัยใหม่คือ (กาลิเลโอ ชาวอิตาลี)
วีรสตรีชาวฝรั่งเศสผู้นำทัพรบชนะทหารอังกฤษ ที่ล้อมเมืองออร์ลีน จนได้รับสมญานามว่าเป็นแม่มดแห่งออร์ลีนคือ (โจน ออฟ อาร์ค)
ผู้ริเริ่มการลูกเสือเป็นคนแรกคือ (ลอร์ด เบเดนเพาเวลล์ ชาวอังกฤษ)
ผู้อำนวยการขุดคลองสุเอชจนสำเร็จคือ (เฟอร์ดินันน์ เดอเลสเซฟ วิศวกร ชาวฝรั่เศส)
วิศวกรขุดคลองปานามาจนสำเร็จคือ (โกเธลล์ วิศวกรชาวอเมริกัน)
ผู้ที่ค้นพบส่วนประกอบของอากาศและการเผาไหม้เป็นคนแรกคือ (ลาวัวซิเอย์ เบรลล์ ชาวฝรั่งเศส)
ผู้ปรับปรุงและคิดวิธีอ่านเขียนหนังสือของคนตาบอดคือ (หลุยส์ เบรลล์ ชาวฝรั่งเศส)
ผู้ที่ได้ชื่อว่าราชาไข่มุกของโลกคือ (มิกิโตโกะ ชาวญี่ปุ่น)
ผู้ที่จัดตั้งรางวัลโนเบลคือ (อัลเฟรดเบอนาร์ด โนเบล นักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดน)
โปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก คือ (เลดี้ อะดา หลักจากที่ เข้าใจถึงหลักการทำงาน ของเครื่อง Analytical Engine จึงได้เขียนภาษา Ada ซึ่งเป็นภาษาที่เก่าแก่ที่สุด มาจากชื่อของเธอเอง)

มันมากับปลาดิบ




ปลาดิบมี 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ ปลาดิบน้ำจืด และปลาดิบน้ำเค็ม (ปลาดิบทะเล) ซึ่งปลาดิบทั้ง 2 ชนิดมีเชื้อโรคที่แอบแฝงมาแตกต่างกัน ปลาดิบน้ำจืด อาจพบพยาธิ บางชนิดแอบแฝงมา เช่น พยาธิตัวจี๊ด พยาธิใบไม้ตับ พยาธิใบไม้ลำไส้ ฯลฯ
คนส่วนมากมักคิดว่า ปลาน้ำเค็มนั้นไม่มีพยาธิ แต่ในความจริงในปลาน้ำเค็มนั้นอาจพบตัวอ่อนของพยาธิอะนิซาคิส (Anisakis simplex) ได้ แต่โชคดีที่การพบพยาธิในปลาน้ำเค็มนั้น พบน้อยกว่าในปลาน้ำจืดมากและพยาธิในปลาดิบน้ำเค็มก็มีความรุนแรงน้อยกว่าด้วยนอกจากนี้ ปลาดิบที่นำมาประกอบอาหารญี่ปุ่นมักจะทำจากปลาน้ำเค็ม
‘‘อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งชะล่าใจว่ากินปลาดิบน้ำเค็มจะปลอดภัย 100% พยาธิอะนิซาคิส ถึงแม้ไม่พบบ่อย ไม่ถึง10 รายต่อปี ในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ก็ก่อความรุนแรงได้มาก พยาธิอะนิซาคิส (Anisakis simplex) เป็นพยาธิที่พบในปลาทะเลเขตอบอุ่น และเขตร้อน ในประเทศไทยตรวจพบ ตัวอ่อนของพยาธิชนิดนี้ในปลามากกว่า 20 ชนิดเช่น ปลาดาบเงิน ปลาตาหวาน ปลาสีกุน เป็นต้น ระยะตัวอ่อน ที่ติดต่อสู่คนจะอยู่ในอวัยวะภายในช่องท้องของปลาทะเล มองเห็นด้วยตาเปล่าได้ บริเวณปากจะมีหนามขนาดเล็ก บริเวณปลายหางจะมีส่วนแหลมยื่นออกมา พยาธิชนิดนี้จะใช้หนามขนาดเล็กและใช้ปลายหางแหลมใน
การไชผ่านเนื้อเยื่อต่างๆ
เมื่อพยาธิชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายทำให้เกิดแผลขนาดเล็ก และอาจทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหารได้ ส่งผลให้ผู้ที่มีพยาธิชนิดนี้ในกระเพาะอาหารและลำไส้ มีอาการปวดท้อง แน่นท้อง คลื่นไส้ ท้องอืด อาการมักไม่เฉพาะเจาะจงคล้ายกับอาการของโรคกระเพาะอาหาร บางรายอาจมีอาการท้องเสีย หรือ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดถ้ามีแผลในกระเพาะขนาดใหญ่ อาการมักจะเริ่มเกิดหลังรับประทานอาหารที่มีพยาธิชนิดนี้ เป็นชั่วโมง หรือเป็นวันก็ได้
การวินิจฉัย และการรักษา ทำโดยการส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร ถ้าพบตัวอ่อนของพยาธิชนิดนี้ก็ใช้กล้องคีบตัวพยาธิออก พยาธิชนิดนี้ไม่สามารถตรวจพบได้ในอุจจาระ เนื่องจากมันจะเกาะติดแน่นกับกระเพาะอาหารและลำไส้
การรับประทานปลาดิบอย่างถูกวิธี ควรต้องแน่ใจว่า ปลาดิบที่นำมาทำอาหารนั้น เป็นปลาทะเล เพราะบางครั้งผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ นำปลาน้ำจืดหลายชนิดมาทำอาหาร การแช่แข็งที่อุณหภูมิต่ำกว่า -35 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 15 ชั่วโมง หรือต่ำกว่า -20 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 7 วัน หรือผ่านความร้อนมากกว่า 60 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 5 นาที ก่อนการประกอบอาหารจะทำให้พยาธิชนิดนี้ตายได้