Sunday, May 6, 2007

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14


พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (ฝรั่งเศส:Louis XIV de France, อังกฤษ:Louis XIV of France)ประสูติวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1638 ณ ปราสาทซาโตเนิฟ เดอ ซังต์ แจร์มัง ออง เลย์ – 1 กันยายน พ.ศ. 2258) ครองราชย์14 พฤษภาคม พ.ศ. 2186 เป็นกษัตริย์แห่งฝรั่งเศส และ นาแวร์ เมื่อมีพระชนมายุได้เพียง 5 ชันษา เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 3 ของราชวงศ์บูร์บง แห่งราชวงศ์คาร์เปเทียง ทรงครองราชย์นานถึง 72 ปี นับเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุดของประเทศฝรั่งเศส และนานกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์อื่นในทวีปยุโรป


พระราชประวัติ


พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ประสูติ ณ ปราสาทชาโต-เนิฟ เดอ
ซังต์ แจร์มัง ออง เลย์ นับเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์เพราะประสูติหลังจากที่พระบิดา(พระเจ้าหลุยส์ ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส) และพระมารดา(สมเด็จพระราชินีอานน์ แห่งออสเตรีย)ที่ได้อภิเษกสมรสกันมาเป็นเวลานานถึง 23 ปีโดยไม่มีโอรส-ธิดา จึงได้รับพระนามว่า หลุยส์ ดิเยอดอนเน ซึ่งแปลว่าหลุยส์ที่พระเจ้าทรงประทาน เนื่องจากพระองค์ประสูติตามคำสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าของพระเจ้าหลุยส์ ที่ 13 (ด้วยการทำพิธีถวายแผ่นดินฝรั่งเศสแด่พระแม่มารี เมื่อเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2181) ซึ่งหลังจากพระองค์ประสูติแล้ว สองปีต่อมา ก็มีพระอนุชา คือเจ้าชายฟิลิปป์ (ดยุคแห่งอองจู และเป็นดยุคแห่งออร์เลออง) ประสูติตามมา

พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักในนามของ "สุริยกษัตริย์" (le Roi soleil) พระเจ้าหลุยส์ทรงสถาปนา
ระบอบราชาธิปไตยในฝรั่งเศส ตามคำคมว่า รัฐ คือข้า ที่มีคนแอบอ้างว่าเป็นอัญพจน์ของพระองค์ ทำให้ระบอบดังกล่าวถูกมองว่าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่กษัตริย์มาปกครองประเทศตามบัญชาของสวรรค์ นักประวัติศาสตร์แสดงความเห็นขัดแย้งเกี่ยวกับคำคมดังกล่าวเพิ่มขึ้นทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากทราบกันว่ารัชสมัยของพระองค์นั้นโดดเด่นในเรื่องความก้าวหน้าทางด้านสิทธิของสาธารณชน ทำให้คำคมดังกล่าวที่ถูกอ้างมาผิดๆ้ ว่า่องค์พระประมุขกับรัฐเป็นสิ่งเดียวกันนั้นสวนทางกับข้อเท็จจริง นอกจากนี้ในรัชสมัยของพระองค์ ได้มีข้อกำหนดต่างๆเพิ่มมากขึ้นเพื่อต่อต้านนิกายโปรเตสแตนท์ และในปี พ.ศ. 2228 พระองค์ได้ทรงรื้อฟื้นพระบัญชาแห่งนองต์ อันเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นเมื่อกว่าหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมาโดยพระเจ้าอ็องรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส สมเด็จพระอัยกาของพระองค์อีกด้วย

พระองค์ได้ทรงลดทอนอำนาจของชนชั้นสูงที่เชี่ยวชาญในการรบ ด้วยทรงรับสั่งให้พวกเขาเหล่านั้นรับใช้พระองค์เช่นเดียวกับเหล่าสมาชิกในราชสำนัก อันเป็นการถ่ายโอนอำนาจมายังระบบธุรการแบบรวมศูนย์ และทำให้พวกเขาเหล่านั้นกลายเป็นชนชั้นสูงที่ใช้สติปัญญา พระองค์ทรงดำริให้สร้าง
พระราชวังแวร์ซาย ขึ้นในอุทยาน โดยมีการจัดสวนให้เป็นรูปทรงเรขาคณิต พระราชวังแวร์ซายที่มีขนาดใหญ่นี้ตั้งอยู่ห่างออกไปราว 15 กิโลเมตรทางตะวันตกของกรุงปารีส ที่เมืองแวร์ซาย ในเขตปริมณฑลของกรุงปารีส

พระองค์ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับ
พระนางมารี-เทเรส แห่งออสเตรีย ( พ.ศ. 2181 - พ.ศ. 2226) พระธิดาของพระเจ้าฟิลิปป์ที่ 4 แห่งสเปน กับพระนางเอลิซาเบธ แห่งฝรั่งเศส (พ.ศ. 2145 - พ.ศ. 2187) ทรงมีโอรสธิดารวมห้าพระองค์:

-เจ้าชาย
หลุยส์แห่งฝรั่งเศส(พ.ศ. 2204 - พ.ศ. 2254) ผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นมกุฎราชกุมาร
-เจ้าหญิงมารี-เทเรส (
พ.ศ. 2210 - พ.ศ. 2215)
-เจ้าหญิงอานน์-เอลิซาเบธ (
พ.ศ. 2205 - พ.ศ. 2205)
-เจ้าชาย
หลุยส์แห่งฝรั่งเศส( พ.ศ. 2210 - พ.ศ. 2226)
-เจ้าหญิงมารี-อานน์ (
พ.ศ. 2207 - พ.ศ. 2207)

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงมีพระสนมมากมาย ในจำนวนนั้น รวมถึง
หลุยส์ เดอ ลา วาลลิแยร์ อองเจลลิก เดอ ฟงตองจ์ มาดาม เดอ มงต์เตสปอง และ มาดาม เดอ มังเตอนง (ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงอภิเษกสมรสด้วยอย่างลับๆ ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของราชินี ในปี พ.ศ. 2227) ในวัยรุ่น พระองค์ได้ทรงรู้จักกับหลานสาวของพระคาร์ดินัลมาซารัง ชื่อมารี มองซีนี ความรักแบบเพื่อนของทั้งสองถูกขัดขวางโดยพระคาร์ดินัล ผู้ประสงค์ให้พระองค์อภิเษกสมรสกับราชนิกูลของประเทศสเปนเพื่อผลประโยชน์ของฝรั่งเศส และของตัวพระคาร์ดินัลเอง คนมักจะพูดกันว่านางสาวเดอ โบเวส์โชคดีมากที่ไม่ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แต่นักประวัติศาสตร์หลายคนก็ยังกังขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี พระเจ้าหลุยส์ยังทรงมีสัมพันธ์เป็นเวลายาวนานอีกกับเด็กสาวพนักงานซักรีดของพระราชวังลูฟ ด้วยความเจ้าชู้ของพระองค์ ต่อมาภายหลังได้ทรงรับสั่งให้สร้างบันไดลับไว้มากมายในพระราชวังแวร์ซายเพื่อจะได้สเด็จไปหาพระสนมของพระองค์ได้สะดวก ความสัมพันธ์ดังกล่าวทำให้พวกเคร่งศาสนากลุ่มหนึ่งไม่พอใจ โบสซูเอต์ กับ มาดาม เดอ มังเตอนง จึงพยายามชักชวนให้พระองค์หันกลับมาสู่ความทรงคุณธรรมอีกครั้ง ซึ่งทำคนทั่วไปรู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปของพระราชวังแวร์ซายได้ แต่ก็ทำให้ผู้บันทึกประวัติหลายคนรู้สึกเสียดาย
ปัญหาเรื่องพระพลานามัยที่ทรุดโทรมและปัญหาการหารัชทายาท ทำให้เกิดบรรยากาศเศร้าสลดขึ้นในช่วงปลายรัชสมัย พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พระองค์ต้องสูญเสียพระโอรส เจ้าชายหลุยส์แห่งฝรั่งเศส (มกุฎราชกุมาร) ไปในปี
พ.ศ. 2254 ในปีถัดมา ดยุคแห่งบูกอญจ์ ผู้เป็นพระราชนัดดา พร้อมด้วยโอรสองค์โตของดยุคพระองค์นี้ก็ได้สิ้นพระชนม์ลงอีกด้วยโรคฝีดาษ องค์มกุฎราชกุมารทรงมีพระโอรสอีกสององค์ ซึ่งหนึ่งในนั้นได้เป็นกษัตริย์ของสเปนภายใต้พระนามว่าฟิลลิปเปที่ 4 แห่งสเปน เป็นผู้ซึ่งปฏิเสธสิทธิในการขึ้นครองบัลลังก์ฝรั่งเศสที่สืบเนื่องมาจากสงครามชิงบัลลังก์ในสเปนภายใต้สนธิสัญญาอูเทรชต์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2257 ดยุคแห่งแบรี โอรสอีกพระองค์หนึ่งของมกุฎราชกุมารก็สิ้นพระชนม์ลงอีกด้วย ราชนิกูลชายผู้สืบเชื้ออย่างถูกต้องจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ในขณะนั้นจึงได้แก่ดยุคแห่งอองจู พระโอรสองค์รองของเจ้าชายแห่งบูกอญจ์ ผู้เป็นเหลนของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ประสูิติเมื่อปี พ.ศ. 2253แต่ก็เป็นเด็กชายผู้มีพลานามัยเปราะบาง นอกเหนือจากดยุคแห่งอองจูผู้ซึ่งได้รับตำแหน่งมกุฎราชกุมารแล้ว ก็มีเจ้าชายผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากพระองค์อยู่อีกไม่มากในสายมารดาอื่น พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จึงทรงตัดสินพระทัยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ราชวงศ์ด้วยการมอบสิทธิ์การขึ้นครองบัลลังก์ให้แก่เจ้าชายอีกสองพระองค์ด้วยเช่นกัน ได้แก่เจ้าชายหลุยส์ ออกุสต์ เดอ บูร์บง ดยุคแห่งเมน และเจ้าชายหลุยส์ อเล็กซองเดรอ เคาท์แห่งตูลูส พระโอรสอันชอบธรรมสองพระองค์ที่ประสูติแต่มาดาม เดอ มงต์เตสปอง

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2258 ด้วยโรคติดเชื้อจากแผลกดทับ พระองค์ได้ทรงประกาศก่อนสิ้นพระทัยว่า "ข้าจะไปแล้ว แต่รัฐของข้าจะคงอยู่ตลอดไป" รัชสมัยของพระองค์กินเวลา 72 ปี กับ 100 วัน พระศพถูกฝังไว้ที่บาซิลิก ซังต์ เดอนี ซึ่งหลุมพระศพนี้ถูกบุกรุกทำลายในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศสในกาลต่อมา ดยุคแห่งอองจู เหลนของพระองค์ผู้มีพระชนม์เพียงห้าชันษาได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์ต่อมา ภายใต้พระนามว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แ่ห่งฝรั่งเศส โดยมีเจ้าชายฟิลิปป์ ดยุคแห่งออร์เลอง พระนัดดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นผู้สำเร็จราชการตลอดช่วงที่กษัตริย์ยังทรงพระเยาว์


การเมืองการปกครอง

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กับองค์รัชทายาท
ช่วงรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั้นโดดเด่นด้วยการรังสรรค์วัฒนธรรมชั้นสูงของฝรั่งเศส ภาษาฝรั่งเศสได้กลายเป็นภาษาของคนชั้นสูง และภาษาทางการทูตในช่วง
คริสต์ศตวรรษที่ 17 และ คริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศรัสเซีย
ในปี พ.ศ. 2217 รัฐบาลฝรั่งเศสได้ซื้อหมู่เกาะมาร์ตีนีก มาจากบริษัทเอกชนแ่ห่งหนึ่งที่ยึดเกาะนี้มาได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2178 ในปี พ.ศ. 2232 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ทรงประกาศ"กฎดำ" ที่ให้อนุญาตให้มีทาสได้ในดินแดนอาณานิคม ผู้ที่ชื่นชมพระองค์ได้มองกฎดำนี้ว่าเป็นกฎที่ทำให้มีการค้าทาสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อจะได้จำกัดการกระทำทารุณกรรมต่อทาส และมอบสถานภาพทางสังคมให้แก่ทาส ซึ่งก่อนหน้านี้ เป็นได้เพียงทรัพย์สมบัติโดยตรงของเจ้าของทาส เฉกเช่นสิ่งของเครื่องใช้ และด้วยกฎนี้ พวกทาสสามารถมีสิทธิ์เป็นเจ้าของทรัพย์สินได้ในจำนวนจำกัด มีสิทธิ์เกษียณอายุเมื่อถึงวัยชรา มีสิทธิ์ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากเจ้าของ และได้รับอาหารที่ดี กฎดำจึงกลายเป็นกรอบของสนธิสัญญาทาสในสมัยนั้น
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงเป็นที่รักและเคารพของประชาชนชาวฝรั่งเศส จากการที่พระองค์ทำให้ประเทศเกรียงไกรและแผ่ขยายอาณาเขตไปเป็นอันมาก อย่างไรก็ดี การตกอยู่ในภาวะสงครามตลอดเวลาทำให้รัฐต้องขาดดุล และต้องเก็บภาษีอากรจากชาวไร่ชาวนาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
อเล็กซิส เดอ ทอกเกอวิลล์ นักประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสได้แสดงความเห็นว่า การที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เปลี่ยนพวกชนชั้นสูงให้กลายเป็นข้าราชบริพารธรรมดา รวมทั้งยังเข้าพวกกับผู้ดีใหม่ที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้แต่ไม่ให้มีอำนาจทางการเมือง มีส่วนผลักดันให้เกิดความไม่มั่นคงในสเถียรภาพทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในเวลาต่อมา และเป็นชนวนก่อให้เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสในที่สุด


ในช่วงต้นของรัชสมัย ประเทศมหาอำนาจในยุโรปอีกประเทศหนึ่งคือ
ประเทศสเปน ในขณะที่สหราชอาณาจักร โดยเฉพาะอังกฤษ ได้กลายเป็นประเทศมหาอำนาจในช่วงปลายรัชสมัยของพระองค์

No comments: