Thursday, May 31, 2007

เครื่องบินอันเป็นที่สุดในโลก


























































































































































































































































































































































































เครื่องบินที่เก่าแก่ที่สุด ไรต์ ฟลายเออร์ 1 ของวิลเบอร์และออร์วิล ไรต์ สัญชาติอเมริกัน เที่ยวบินแรกมีขึ้นในปี 1904Wright Flyer จำลอง เครื่องบินที่พังเร็วที่สุด Bachem Ba-39 "Natter" เป็นเครื่องบินที่ใช้เครื่องยนต์จรวดของฝ่ายเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง หลักการก็แสนง่าย กล่าวคือยิงมันขึ้นไปบนท้องฟ้าและสาดกระสุนใส่เครื่องบินทิ้งระเบิดของสัมพันธมิตรให้มากที่สุด ก่อนจะถอดหัวและกลับลงพื้นด้วยร่มชูชีพเนื่องจากไม่มีล้อเพราะสร้างไม่ทัน (จะแพ้สงครามอยู่แล้ว) การทดสอบด้วยเครื่องควบคุมภาคพื้นดินเป็นไปได้ด้วยดี แต่เพียงขึ้นทดสอบด้วยนักบินครั้งแรกก็ตูม เนื่องจากฝาครอบห้องนักบินล็อกไม่สนิท เมื่อขึ้นไปกลางอากาศเกิดแรงต้านจึงร่วงวูบ นักบินช็อกจากแรงปะทะของอากาศและหมดสติขณะเครื่องโหม่โลก อาเมน.....เครื่อง บินโดยสารไอพ่นรุ่นแรกสุด เดอ ฮาวิลแลนด์ โคเมต ของอังกฤษ ใช้เครื่องยนต์เดอ ฮาวิลแลนด์ โกสต์ 4 เครื่อง ตอนแรกดูเหมือนจะไปได้ด้วยดี แต่ในที่สุดก็เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นติดๆกัน จากการสอบสวนพบว่าขอบหน้าต่างสี่เหลี่ยมเกิดร้าวเนื่องจากการรับการเปลี่ยนแรงกดดันเมื่อลงจอดและอยู่ในระดับบินซึ่งค่อนข้างสูง ในที่สุดเมื่อบ่อยครั้งเข้าเครื่องทั้งเครื่องก็ฉีกออกเป็นชิ้นๆด้วยแรงดันอากาศ เครื่องทั้งหมดถูกสั่งห้ามบิน และกว่าจะได้บินอีกครั้งก็ถูกโบอิ้ง 707 และดักลาส DC-8 ของอเมริกันแย่งตลาดไปหม่ำเรียบร้อยโรงเรียนจีน ขายไม่ออก เจ๊ง.....De Havilland D.H.146 Comet ทะเบียน G-BDIT สายการบิน Dan Air London ท่าอากาศยานดึซเซลดอร์ฟ เยอรมนี เครื่องบินที่ใช้งานในเชิงพาณิชย์นานที่สุด ดักลาส DC-3 ผลิตโดยดักลาส สัญชาติอเมริกัน ใช้มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง จนบัดนี้ยังคงใช้อยู่บ้างในบางสายการบินโดยเฉพาะในแอฟริกาและอเมริกาใต้ รวมทั้งกองทัพอากาศไทยก็มี DC-3 สำหรับใช้ขนส่งทางทหาร (ชื่อเรียก Dakota) อยู่ด้วยDouglas DC-3 ทะเบียน HB-ISC สายการบินสวิสแอร์ เครื่องบินไอพ่นเชิงพาณิชย์ที่ขายดีที่สุด โบอิ้ง 737 ตั้งแต่รุ่น 100 ที่อวดโฉมต่อสายตาชาวโลกเมื่อทศวรรษ 1960 จนถึงรุ่น -600/-700/-800/-900/BBJ ที่อยู่ในตลาดทุกวันนี้รวมกันได้มากกว่าห้าพันลำ กินขาดโบอิ้ง 707 และ 727 สบายๆBoeing 737-4D7 ทะเบียน HS-TDG การบินไทย เหนือกรุงเทพมหานครเครื่องบินเชิงพาณิชย์ที่บินได้ไกลที่สุด ในการปฏิบัติการปกติ แอร์บัส เอ340-500 โดยแอร์บัส SAS ของฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน สเปนและเนเธอร์แลนด์ บินได้ไกลประมาณ 16,000 กิโลเมตรAirbus A340-541 ทะเบียน HS-TL? การบินไทย ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงเทพ (ดอนเมือง) ของเรานั่นเองเครื่องบินไอพ่น 2 เครื่องยนต์ที่บินได้ไกลที่สุด โบอิ้ง 777-200LR แน่นอนว่าโดยโบอิ้ง บินได้ไกล 17,000 กิโลเมตร ออกโชว์ครั้งแรกในงานปารีสแอร์โชว์ 2005 ที่ท่าอากาศยานเลอเบอร์เก้ ปารีส ฝรั่งเศสBoeing 777-240LR ที่ท่าอากาศยาเลอเบอร์เก้ (Le Bourget) ปารีส ฝรั่งเศสเครื่องบินทิ้งระเบิดไอพ่นที่ใช้งานนานที่สุด โบอิ้ง B-52 สตราโตฟอร์เทรส ใช้มาตั้งแต่ปี 1952 บัดนี้มีตั้งแต่รุ่น B-52A ถึง B-52HBoeing B-52 Stratofortress ของกองทัพอากาศสหรัฐฯเครื่องบินที่ถูกนับว่าปลอดภัยที่สุด อิลยุชชิน IL-96 ของอิลยุชชิน รัสเซีย บินครั้งแรกในปี 1986 ยังไม่เคยประสบอุบัติเหตุเลยสักลำ ยกเว้นการเสียเล็กเสียน้อยIlyushin IL-96-300 ทะเบียน RA-96010 สายการบินแอโรฟลอต (Aeroflot Russian International airlines - ARIA) ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงเทพเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุด และมีน้ำหนักบินขึ้น (Max Takeoff Weight) มากที่สุด แอนโตนอฟ An-225 Mriya (Dream) โดยแอนโตนอฟ รัสเซีย น้ำหนักบินขึ้นสูงสุด (Max Takeoff Weight - MTOW) ประมาณ 1,250,000 ปอนด์ เป็นเครื่องบินลำแรกที่มีน้ำหนักบินขึ้นสูงสุดเกินหนึ่งล้านปอนด์ และสามารถบรรทุกสินค้าได้สูงสุดกว่า 500,000 ปอนด์ ความกว้างปลายปีกถึงปลายปีก 85 เมตร (โดยปกติแล้วน้ำหนักบินขึ้นถือเป็นเกณฑ์วัด "ความใหญ่" ของเครื่องบิน)Antonov An-225 Mriya ทะเบียน UR-82060 ของบริษัท Antonov Design Bureau ให้บริการขนส่งสินค้าทั่วโลก (ตามแต่คนจ้าง.....) ท่าอากาศยานนานาชาติเอเลฟเทริออส เวนิเซลอส (Eleftherios Venizelos) กรุงเอเธนส์บัน) เครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุด (ที่ใช้งานแล้วในปัจจุบันโบอิ้ง) ป747-400 (หากจะนับน้ำหนักบินขึ้นมากที่สุดก็คือรุ่น 747-400D ซึ่งเพิ่มความสามารถในการบรรทุกแต่ลดพิสัยบินลง สามารถจุคนได้กว่า 550 คน)Boeing 747-4D7 ทะเบียน HS-TG? การบินไทย ท่าอากาศยานมืนเชน (มิวนิค) มิวนิค เยอรมนีเครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุด แอร์บัส เอ380-800 นั่งได้ 555 คนในการจัดที่นั่งแบบ 3 ชั้น (ตามที่แอร์บัสเคลมเอาไว้) กำหนดส่งมอบละแรก (ให้สิงคโปร์แอร์ไลน์ส) ในปลายปี 2549 นี้ การบินไทยสั่งจอง 6 ลำ กว่าจะได้คงอีกชาติเศษๆAirbus A380-841 ทะเบียน F-WWOW ลำต้นแบบของบริษัทแอร์บัสอินดัสตรีส์ ที่ท่าอากาศยานบลันนัค (Blagnac) ตูลูส ฝรั่งเศสเครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซีย อิลยุชชิน IL-96 ของอิลยุชชิน รัสเซีย นั่งได้ประมาณ 300 คน ขนาดพอๆกับโบอิ้ง 767-200ER อิลยุชชินหมดตังค์เลยไม่ได้พัฒนาต่อ ถ้าพัฒนาต่อมันจะใหญ่พอๆกับโบอิ้ง 777 หรือแอร์บัส เอ340-300 และคงขายได้เยอะเพราะถูกกว่าบริษัทคู่แข่งทั้งสองIlyushin IL-96-300 ทะเบียน RA-96008 สายการบินแอโรฟลอต (Aeroflot Russian International airlines - ARIA) ท่าอากาศยานนานาชาติเชเรเมติเยโว (Sheremetyevo) มอสโก รัสเซีย เครื่องบินเชิงพาณิชย์ที่บินเร็วที่สุด ตูโปเลฟ Tu-144 ของตูโปเลฟ รัสเซีย ชื่อเรียกของ NATO เรียกว่า Charger หรือ Concordski (นัยว่าเป็นคองคอร์ดสัญชาติรัสเซีย) ความเร็วสูงสุด มัค 2.5 ซึ่งเร็วกว่าคองคอร์ดที่บินได้เพียงมัค 2.0-2.2 เท่านั้นTupolev Tu-144 (Nato Reporting Name "Charger" หรือ "Concordesky") ทะเบียน CCCP-77112 สายการบินแอโรฟลอต (Aeroflot Russian International airlines - ARIA) ปลดระวางแล้ว ที่พิพิธภัณฑ์อากาศยาน เยอรมนีเครื่องบินทางทหารที่บินได้เร็วที่สุด เครื่องบินสอดแนมระดับสูงล็อกฮีด SR-71 แบล็กเบิร์ด ของล็อกฮีด สหรัฐอเมริกา บินได้เร็วมัค 3.3 ปัจจุบันตกงานเนื่องจากดาวเทียมสะดวกกว่า บ๊ายบาย แบล็กเบิร์ด.....Lockheed SR-71 Blackbird ของกองทัพอากาศสหรัฐ ที่ฐานทัพอากาศเนลลิส - ลาสเวกัสเครื่องบินคนบังคับที่บินได้เร็วที่สุด นอร์ท อเมริกัน X-15 ซึ่งเป็นเครื่องบินวิจัยการบินด้วยความเร็วเหนือเสียงระดับสูง (Hypersonic) บินได้เร็ว 6.5มัคซึ่งถือเป็นความเร็วสูงสุดที่เครื่องบินที่มีมนุษย์ควบคุมทำได้ ที่เร็วกว่านั้นจะเป้นบังคับจากภาคพื้นดินทั้งหมดNorth American X-15 ขององค์การอวกาศสหรัฐฯ (NASA)เครื่องบินใช้ใบพัดที่บินเร็วที่สุด เครื่องบินทิ้งระเบิดตูโปเลฟ Tu-95 ของรัสเซีย บินได้เร็ว 575 นอต ซึ่งเทียบเท่าความเร็วของเครื่องบินไอพ่นระดับ B-52 เลยทีเดียว ที่แรงดีขนาดนี้ก็เพราะใช้เครื่องยนต์ที่มีกำลังมากที่สุดในโลกคือ Kuznetsov NK-12MV Turboprop ซึ่งให้กำลัง 59,180 แรงม้า 4 เครื่อง และขับเคลื่อนใบพัดเครื่องละสองใบหมุนในทิศตรงข้ามกัน ซึ่งยังผลให้เสริมแรงซึ่งกันและกัน ทำให้ได้ความเร็วและแรงม้าระดับนี้ขึ้นมาTupolev Tu-95 (NATO Reporting Name "Bear") ของกองทัพอากาศโซเวียตเครื่องบินที่ถูกสร้างขึ้นมามากรุ่นที่สุด ดักลาส DC-8 ของดักลาส สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่บินครั้งแรกในปี 1958 ในรหัสรุ่น DC-8-10 ก็มีรุ่นต่อมาเรื่อยๆ จนเลิกผลิตที่ DC-8-62 แต่ยังคงมีคนดัดแปลงโดยการติดตั้งเครื่องยนต์ใหม่และให้ชื่อรุ่นว่า DC-8-72 และ -73Douglas DC-8-62 ทะเบียน HS-??? การบินไทยของเรานั่นเอง ที่ท่าอากาศยานไกตั๊ก (Kai Tak) ฮ่องกงแอร์ ฟอร์ซ วัน (สหรัฐฯ) โบอิ้ง VC-25A (747-2G4B หรือ 747-200B นั่นเอง)Boeing VC-25A (Boeing 747-2G4B) "แอร์ ฟอร์ซ วัน" ที่ท่าอากาศยานเฟริเฮกี (Ferihegy) บูดาเปสต์เครื่องบินโดยสารในปัจจุบันที่ใช้เครื่องยนต์ไอพ่นที่มีแรงขับดันน้อยที่สุด แยคคอฟเลฟ Yak-40 ของรัสเซีย ใช้เครื่องยนต์ Ivchenko Turbofan แรงขับดัน 3,100 ปอนด์ 3 เครื่องYakovlev Yak-40 ทะเบียน RA-88240 เครื่องบินส่วนตัวเครื่องบินโดยสารในปัจจุบันที่ใช้เครื่องยนต์ไอพ่นที่มีแรงขับดันมากที่สุด โบอิ้ง 777 ใช้เครื่องยนต์ Pratt & Whitney PW4000 series/GE GE90 series/Rolls Royce Trent 800 series ซึ่งมีแรงขับดันระหว่าง 76,000-115,000 ปอนด์)Boeing 777-3D7 ทะเบียน HS-TKC การบินไทย ที่ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงเทพเครื่องบินไอพ่นที่ใช้เครื่องยนต์มากที่สุด โบอิ้ง B-52 Stratofortress ใช้เครื่องยนต์ TF-33-P-3/103 Turbofan ทั้งหมด 8 เครื่อง แต่แรงขับดันรวมเพียง 605 กิโลนิวตัน (ประมาณ 136,000 ปอนด์) ซึ่งน้อยกว่าโบอิ้ง 777 หรือแอร์บัส เอ330 เสียอีกBoeing B-52 Stratofortress ของกองทัพอากาศสหรัฐฯเครื่องบินที่มีแรงขับดันรวมของเครื่องยนต์มากที่สุด แอนโตนอฟ AN-225 Mriya เจ้าเก่า ใช้เครื่องยนต์ ZMKB-Lotarev D-18T Turbofan 6 เครื่อง เครื่องละ 226kN รวมเป็น 1,326 kNAntonov An-225 Mriya ทะเบียน UR-82060 เจ้าเก่า ท่าอากาศยานนานาชาติเอเลฟเทริออส เวนิเซลอส (Eleftherios Venizelos) กรุงเอเธนส์สายการบินที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงให้บริการ เอเวียนคา โคลัมเบีย ตั้งขึ้นในปี 1918Boeing 767-284ER ทะเบียน N988AN สายการบินเอเวียนคา โคลัมเบีย ท่าอากาศยานกัวรูลฮอส (Aeroporto Internacional Guarulhos) เซาเปาโล บราซิลสายการบินที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงใช้ชื่อเดิมตั้งแต่ก่อตั้งไม่เคยเปลี่ยน Koninklijke Luchivaart Maatschappij NV หรือที่รู้จักกันทุกวันนี้ว่าKLM โรยัล ดัตช์ แอร์ไลน์ ตั้งในปี 1919 ยังคงใช้ชื่อเดิมอยู่ และคงจะใช้ต่อไปอีกนานMcdonnell Douglas (ตอนนี้เป็นโบอิ้ง) MD-11 ทะเบียน PH-KCE ท่าอากาศยานสคิฟฮอล (Schiphol) อัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์เครื่องบินลำแรกสุดที่ลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ แอร์บัส A340-600 ทะเบียน HS-TNA "วัฒนานคร" (ลำที่สองเป็นโบอิ้ง 747-4D7 (747-400))Airbus A340-642 ทะเบียน HS-TNA การบินไทย ที่ท่าอากาศยานเคลอเตน (Kloten) ซูริค สวิตเซอร์แลนด์เครื่องบินรบรุ่นใหม่ล่าสุดของโลก ล็อกฮีด YF-35 ของสหรัฐฯ มิโกยัน Mig-144 (ชื่อไม่เป็นทางการ) ของรัสเซีย ซุคฮอย Su-37 เบอร์คุต (อินทรีทอง) รัสเซียเช่นกัน ยูโรไฟท์เตอร์ 2000 (ยูโรไฟท์เตอร์ ไต้ฝุ่น) โดยความร่วมมือระหว่างประเทศในยุโรป เครื่องบินที่ไม่มีหางลำแรกของโลก นอร์ธรอป YB-49 ของนอร์ทรอป แต่กองทัพสหรัญไม่สั่ง เนื่องจากปัญหาด้านเครื่องยนต์ที่ซ่อมยาก การควบคุมที่ไม่ดีและอุบัติเหตุหลายครั้งหลายครา จนในที่สุดโครงการก็มีอันต้องพับฐานไป และแจ็ค นอร์ธรอป (ผู้เสนอไอเดีย) ก็ฝันค้าง.... เครื่องบินไม่มีหางที่ใช้งานจริง ได้ลำแรกของโลก นอร์ธรอป-กรัมแมน B-2 สร้างห่างจาก YB-49 ถึงเกือบ 40 ปี โดย B-2 ใช้ระบบ "Fly-by-wire" หรือการใช้ไฟฟ้าควบคุมอุปกรณ์และระบบบังคับต่างๆ รวมทั้งนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ช่วยในการควบคุม ทำให้ความฝันของนอร์ทรอปเป็นจริงขึ้นมาจนได้..... (คลาสสิก)Northrop-Grumman B-2 Spirit ของกองทัพอากาศสหรัฐฯลายเรือพระที่นั่ง 3 ลำของการบินไทย โบอิ้ง 747-4D7 HS-TGJ นามพระราชทาน หริภุญชัย (ลายสุพรรณหงส์) โบอิ้ง 747-4D7 HS-TGO นามพระราชทาน บวรรังสี (ลายสุพรรณหงส์เช่นเดียวกัน) แอร์บัส A330-322 HS-TEK นามพระราชทาน ศรีจุฬาลักษณ์ (ลายนารายณ์ทรงสุบรรณ) (โบอิ้ง 747-400 ทั้งสองลำถูกนำไปทำสีใหม่ (ลายหางม่วง) เรียบร้อยแล้ว น่าเสียดาย.....)Boeing 747-4D7 ทะเบียน HS-TGO การบินไทย ท่าอากาศยานเคลอเตน ซูริค สวิตเซอร์แลนด์Airbus A330-322 ทะเบียน HS-TEK การบินไทย ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงเทพ

รวมไอติมรสแปลกๆๆๆของญี่ปุ่น

รสหมึก ด๊ำดำ

รสสาหร่ายย่างถ่าน สาหร่ายไฮโซ

รสมิโสะราเมน อิจิบังนำเข้ามาขาย

รสผัก จะได้โตไวไว




รสผงกระหรี่อินเดีย ดูทำดิ





รสปลาไหล อร๊อยอร่อย






รสน้ำพุร้อน คิดได้ไง





รสถ่านหรือขี้เถ้านั่นเอง อยากกินป่าว






รสตับไตไส้พุงปลาหมึก แหวะๆๆๆ










รสงูพิษ กึ๋ยๆๆ








รสไข่มุกเอง









รสไก่ย่าง อยากกินอะ










รสเกลือ แป่วๆๆๆ














รสกุ้ง ตัวโต๊โต












รสกระเทียม เหอๆๆๆ














รสซอสถั่วเหลือง หรือซีอิ้วนั่นเอง














Sunday, May 6, 2007

กรรมวิธีทำไอศกรีม ก่อนมีการคิดค้นเครื่องทำความเย็น


นมและครีมแข็งตัวในอุณหภูมิประมาณ -7 องศาเซลเซียส ชาวอาหรับเป็นผู้ค้นพบว่าการเติมโซเดียมไนเตรต (โพแทสเซียมไนเตรต ส่วนประกอบในดินประสิว) ในน้ำเย็นทำให้เกิดปฏิกิริยาดูดซับความร้อน ซึ่งลดอุณหภูมิจนต่ำลงมากพอจะทำไอศกรีมกรรมวิธีนี้น่าจะเผยแพร่สู่ยุโรปเมื่อครั้งที่ชาวมัวร์ ครอบครองสเปนในปี ค.ศ. 711ถึง ค.ศ. 1492
" ประวัติศาสตร์ไอศกรีมที่เสิร์ฟในอังกฤษครั้งแรกเกิดขึ้นในงานเลี้ยงฉลองเซนต์จอร์จเมื่อปี 1671 สมัยพระเจ้าชาลสที่ 2 มีเฉพาะผู้นั่งร่วมโต๊ะกับกษัตริย์เท่านั้น ที่ได้รับของหวานสุดหรูจานนี้และพวกเขา จะกินเคียงกับสตรอเบอรี " ลิซา กรีน ผู้บริหารสูงสุดของสมาพันธ์ไอศกรีมแห่งอังกฤษ กล่าว

ที่มา: คอลัมน์ สงสัยจริง
นิตยสาร สรรสาระReader 's Digest ฉบับ ธันวาคม 2549

สุภาษิตและวาทะคนดัง


ในโลกนี้ คนทุกชาติทุกภาษาไม่ว่าไทย ฝรั่ง จีน ฯลฯ ต่างมีคำคมเตือนใจไว้เตือนตนและเตือนลูกหลานให้รู้จักแนวทางดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและมีคุณค่าแก่สังคม คำชนิดนี้คือ สุภาษิต นั่นเอง


ย้ำ – สุภาษิต เท่านั้นจึงจะดี ทุภาษิตเราไม่เกี่ยวนะครับ ทุ แปลว่า ไม่ดี, เลว, ผิด
เพราะบางทีมีมนุษย์อุตริแปลงคำสอนดีๆให้เป็นคำเพี้ยนๆไปเพื่อความสะใจ เช่น เขาสอนลูกหลานกันมาดีๆว่า “ออมไว้ ไม่ขัดสน” ก็ดันไปตัด “อ.อ่าง” ออกเสียตัวหนึ่ง เป็น “อมไว้ ไม่ขัดสน” ก็จะกลายเป็นแนะให้เป็นคนคดโกงไปเสีย อย่างนี้มิใช่สุภาษิตแน่ๆ
อันสุภาษิตทุกชาติต่างก็กำเนิดขึ้นมากับวัฒนธรรม และ ผูกพันอยู่กับวัฒนธรรมตลอดจนความเป็นอยู่ของตน ดังนั้น เมื่อความเป็นอยู่และวัฒนธรรมแต่ละชาติมีความแตกต่าง สุภาษิตฝรั่งหลายบทจึงอาจจะเข้าใจยากสำหรับชาวสยามเมืองยิ้มอย่างเรา แต่ส่วนที่คล้ายคลึงกันก็มิใช่น้อย


นอกจากสุภาษิตแล้วยังมีคำกล่าวที่คมคายน่าฟังของคนดังทั้งหลายในแต่ละชาติบ้านเมืองกล่าวไว้อย่างน่าฟังมีคติเตือนใจไม่แพ้สุภาษิต วาทะ (Saying) เหล่านั้นเมื่อเรานำมาใช้พูดหรืออ้างถึงก็เรียกว่า Quotations ส่วนผมๆก็ว่า Saying ก็ไม่แตกต่างกับสุภาษิตเท่าใดนักหรอก เมื่อทั้ง Proverbs หรือ Sayings ต่างให้ข้อคิดเตือนใจเกี่ยวกับวิถึชีวิตทั้งสิ้น
คนเรานี่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าคนพูดหรือเจ้าของวาทะยังอยู่ (ยังไม่ตาย) ก็คงเป็นแค่ Saying เป้นแค่ “คำกล่าว” หรือ “วาทะ” น่าฟัง…..นู่น….ผ่านไปสักร้อยปีสองร้อยปีโน่นกระมัง เขาจึงจะยอมรับว่าเป็น Proverb หรือสุภาษิต


ทีนี้ เรามาดูสุภาษิตและวาทะคนดังนานาประเทศกันสักหน่อย น่าฟังและท้าทายให้คิดทั้งนั้น


- Drink nothing without seeing it; Sign nothing without reading it. อย่าดื่มโดยไม่ได้เห็น อย่าเซ็นชื่อโดยไม่ได้อ่าน (ภาษิตสเปน)


- The eyes believe themselves; the ears believe other people. ตาเชื่อตัวเอง หูเชื่อผู้อื่น (ภาษิตเยอรมัน)


- Fast Ripe, Fast Rotten. สุกไว เสียไว (ภาษิตญี่ปุ่น)


- A half-truth is a whole lie. พูดความจริงครึ่งเดียว ก็คือการโกหกทั้งหมด (ภาษิตยิว)


- He who must die, must die in the dark, even though he sells candles. คนที่ตายก็ต้องตายในความมืด แม้เขาจะขายเทียนไขก็ตาม (ภาษิตโคลัมเบีย)


- He who would rule must hear and be deaf, see and be blind. นักปกครองต้องรู้จักฟังและปิดหู รู้จักดูและปิดตา (ภาษิตเยอรมัน)


- He who asks is a fool for five minutes, but he who does not ask remains a
fool forever.
ถามเขาอาจดูว่าโง่เพียง 5 นาที แต่คนที่ไม่ถามสักทีอาจโง่ไปชั่วชีวิต (ภาษิตจีน)


- He who has health has hope; and he who has hope, has everything. คนมีสุขภาพดีย่อมมีความหวัง คนมีความหวังมีทุกสิ่งทุกอย่าง (ภาษิตอาหรับ)


- A weed is a plant we’ve found no use for yet.
วัชพืชคือพืชที่เรายังค้นหาประโยชน์ไม่พบ (ราล์ฟ วัลโด อีเมอร์สัน)


- A penny saved is a penny earned.
เก็บออมไว้หนึ่งเพนนีเท่ากับหาเงินได้หนึ่งเพนนี (สุภาษิตสก็อต)


- A rolling stone gathers no moss.
หินกลิ้งตะไคร่ไม่จับ (จอห์น เฮย์วูด) หมายถึงคนที่เปลี่ยงานบ่อยๆหรือย้ายที่ตั้งถิ่น
ฐานบ่อยๆจะพบความสำเร็จได้ยาก


- Ability may get you to the top but it’s character that will keep you there.
(อับราฮัม ลิงคอล์น)
ความสามารถอาจทำให้ท่านขึ้นสู่ตำแหน่งยิ่งใหญ่แต่สิ่งที่ทำให้ดำรงอยู่ได้คือคุณธรรม


- Actions speak louder than words.
การกระทำดังกว่าคำพูด (อับราฮัม ลิงคอล์น)


- Beware of the young doctor and the old barber.
พึงระวังหมอหนุ่มกับช่างตัดผมแก่ (เบนจามิน แฟรงกลิน)


- By learning you will teach; by teaching you will learn.
จากการเรียนคุณจะสอนได้ และจากการสอนคุณจะก็ได้เรียนเช่นกัน (ภาษิตลาติน)


- Don’t open a shop unless you know how to smile. อย่าเปิดร้านขายของ ถ้าคุณไม่รู้จักยิ้ม (ภาษิตยิว)


- Good men must die, but death cannot kill their names.
คนดีก็ต้องตาย แต่ความตายหาทำลายชื่อเสียงเขาได้ไม่ (ภาษิตสเปน)


- If you are a host to your guest, be a host to his dog also. ถ้าคุณต้อนรับแขก จงต้อนรับหมาของเขาด้วย (ภาษิตรัสเซีย)


- Love makes time pass. Time makes love pass.) ความรักทำให้กาลเวลาผ่านไป เวลาก็ทำให้ความรักผ่านไปเช่นกัน (ภาษิตฝรั่งเศส)


- A little pot boils easily. หม้อใบเล็กเดือดไว (ภาษิตดัทช์)


- Though a tree grow ever so high, the falling leaves return to the ground. ต้นไม้สูงเพียงไหน ใบก็ต้องร่วงสู่ดิน


- Words must be weighed, not counted. คำพูดสำคัญที่น้ำหนัก มิใช่จำนวน (ภาษิตโปแลนด์)


- Wheresoever you go, go with all your heart. ไม่ว่าจะไปแห่งใด เอาหัวใจไปด้วย (ขงจื๊อ – ปราชญ์จีน)


- When you go to buy, use your eyes, not your ears. จงซื้อของด้วยตา อย่าซื้อด้วยหู (ภาษิตเช็คโก)


- When one shuts one eye, one does not hear everything. ถ้าปิดตาก็จะไม่ได้ยินสิ่งใดๆ (ภาษิตสวิส)


- Use soft words and hard arguments. ใช้คำให้นุ่มนวลและโต้แย้งให้หนักหน่วง (ภาษิตอังกฤษ)


- To know and to act are one and the same. รู้และทำได้ ต้องเป็นสิ่งเดียวกัน (ภาษิตซามูไร – นักรบญี่ปุ่น)


- A tree never hits an automobile except in self defense. ต้นไม้ไม่เคยชนรถหรอก นอกจากป้องกันตนเองเท่านั้น (ภาษิตอเมริกัน)


- Well begun is half done. เริ่มต้นด้วยดีเท่ากับสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง (อริสโตเติ้ล)


- The hand that rocks the cradle, rules the world.
มือที่ไกวเปลคือมือที่ครองโลก (วิลเลี่ยม รอส วอลเลซ)


- Small children give you a headache, big children a heartache.
เด็กเล็กทำให้คุณปวดหัว แต่เด็กโตทำให้คุณปวดใจ (ภาษิตรัสเซีย)


- Better three hours too soon than a minute too late.
มาไวไปสามชั่วโมง ดีกว่ามาช้าหนึ่งนาที (วิลเลียม เชคสเปียร์)


- People learn more on their own rather than being force fed.
คนจะเกิดการเรียนรู้ด้วยตนมากกว่าที่จะถูกยัดเยียดความรู้ให้ (โสเครตีส)


- An army of sheep led by a lion would defeat an army of lions led by a sheep.
กองทัพแกะที่นำโดยสิงโตย่อมชนะกองทัพสิงโตที่นำโดยแกะ (ภาษิตอาหรับ)


- Ask the experienced rather than the learned.
ถามไถ่ผู้มีประสบการณ์ดีกว่าถามผู้รู้ (ภาษิตอาหรับ)


- Be on your guard against a silent dog and still water. ระวังหมาเงียบกับน้ำนิ่ง (ภาษิตลาติน)


- The blind man is laughing at the bald head. คนตาบอดหัวเราะคนหัวล้าน (ภาษิตอิหร่าน)


- Don’t live in a town where there are no doctors.
อย่าอาศัยอยู่ในเมืองที่ไม่มีหมอ (ภาษิตยิว)


- Everyone thinks his own burden heavy.
แต่ละคนคิดว่างานของตนหนักกว่าใคร (ภาษิตฝรั่งเศส)


- The first drink with water, the second without water, the third like water. แก้วแรกดื่มกับน้ำ แก้วสองดื่มโดยไม่ผสมน้ำ แก้วสามดื่มราวกับน้ำ (ภาษิตสเปน)


- The road to a friend’s house is never long.
ถนนไปบ้านเพื่อนไม่เคยไกล (ภาษิตเดนมาร์ก)


- Our greatest weakness lies in giving up.
ความอ่อนแอที่แย่ที่สุดของมนุษย์คือการล้มเลิกเสียกลางคัน (โทมัส เอดิสัน)


- Destroy your enemy by making him your friend.
จงทำลายศัตรูของท่านด้วยการทำให้เขาเป็นมิตร (อับราฮัม ลิงคอล์น)


- When love and skill go together, expect a masterpiece.
เมื่อความรักกับทักษะไปด้วยกัน มั่นใจได้ว่าจะมีผลงานชิ้นเอก (จอห์น รัสกิน)


- To be wronged is nothing unless you continue to remember it.
การโดนดูหมิ่นแท้จริงไม่มีอะไรถ้าไม่เก็บเอาไปใส่สมอง (ขงจื๊อ)


- If you reveal your secrets to the wind you should not blame the wind for revealing them to the trees. ถ้าบอกความลับกับลม ก็ไม่ควรตำหนิลมที่นำความลับไปบอกต้นไม้ (คาห์ลิล ยิบราน)


- When anger rises, think of the consequences. ถ้าความโกรธพลุ่งพล่าน ให้คิดถึงผลที่จะตามมา (ขงจื๊อ)


- A little learning is a dangerous thing.
รู้น้อยเป็นอันตราย (อเล็กซานเดอร์ โป๊ป)


- A good spouse and health is a person’s best wealth.
มีคู่สมรสดีและสุขภาพดี คือ สุดยอดความมั่งมีของคน (เบนจามิน แฟรงกลิน)


- Virtue and happiness are mother and daughter.
ความดีกับความสุขคู่กันเหมือนแม่กับลูกสาว (เบนจามิน แฟรงกลิน)


- Time is an herb that cures all diseases.
กาลเวลาเหมือนยาสมุนไพรที่รักษาได้ทุกโรค (เบนจามิน แฟรงกลิน)


- There is always someone worse off than you.

ยังมีคนที่แย่กว่าคุณอยู่เสมอ (อีสป)


- The customer is always right.
ลูกค้าเป็นฝ่ายถูกเสมอ (แบร์รี่ เพน)


- Loose lips sink ships.
ปากหลวม เรือล่ม (ภาษิตสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2)


- Learning is better than house and land.
การเรียนรู้มีค่ากว่าบ้านและที่ดิน (เดวิด การ์ริค)


- Home is where the heart is.
บ้านคือที่อยู่ของหัวใจ (เจ เจ แมคคล้อสกี้)


- He that would live in peace and at ease, must not speak all he knows, nor
judge all he sees.

คนที่อยากอยู่อย่างสงบและสบาย อย่าพูดทุกอย่างที่รู้หรือวิจารณ์ทุกอย่างที่เห็น
(เบนจามิน แฟรงกลิน)


- Great minds have purposes, others have wishes.
หัวใจที่ยิ่งใหญ่จะมีเป้าหมาย ส่วนหัวใจทั่วไปมักมีแต่ความปรารถนา (วอชิงตัน เออร์วิง)

- Genius is ninety percent perspiration and ten percent inspiration.
อัจฉริยภาพนั้นแท้จริงมาจากแรงบันดาลใจสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนอีกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์
มาจากหยาดเหงื่อ (โธมัส เอดิสัน)


- Friendship increases by visiting friends but visiting seldom.
มิตรภาพเพิ่มพูนด้วยการไปเยือน แต่อย่าเยือนบ่อย (เบนจามิน แฟรงกลิน)


- Forgiveness is the attribute of the strong.
การให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง (มหาตมะ คานธี)


- Eat to live, not live to eat.
จงกินเพื่ออยู่ แต่อย่าอยู่เพื่อกิน (โสเครตีส)


- Virtue alone is true nobility.
ความดีประการเดียวเท่านั้นคือความสูงศักดิ์ที่แท้จริง (วิลเลียม กิฟฟอร์ด)


- Those who are feared, are hated.
คนที่ใครๆเขาพากันกลัว คือ คนน่ารังเกียจ (เบนจามิน แฟรงกลิน)


ท่านลองสร้างสรรค์วาทะเด็ดๆขึ้นมา…..เผื่อฟลุ้คๆเป็นที่ถูกใจชาวโลก….ท่านก็อาจจะดังระดับโลกอย่างคนดังในอดีตก็ได้…….

Armistice

An armistice is the effective end of a war, when the warring parties agree to stop fighting. It is derived from the Latin arma, meaning weapons and statium, meaning a stopping.

A truce or
ceasefire usually refers to a temporary cessation of hostilities for an agreed limited time or within a limited area. A truce may be needed in order to negotiate an armistice. An armistice is a modus vivendi and is not the same as a peace treaty, which may take months or even years to agree on. The 1953 Korean War armistice [1] is a major example of an armistice which has not yet been followed by a peace treaty.

The
United Nations Security Council often imposes or tries to impose cease-fire resolutions on parties in modern conflicts. Armistices are always negotiated between the parties themselves and are thus generally seen as more binding than non-mandatory UN cease-fire resolutions in modern international law.[citation needed]

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14


พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (ฝรั่งเศส:Louis XIV de France, อังกฤษ:Louis XIV of France)ประสูติวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1638 ณ ปราสาทซาโตเนิฟ เดอ ซังต์ แจร์มัง ออง เลย์ – 1 กันยายน พ.ศ. 2258) ครองราชย์14 พฤษภาคม พ.ศ. 2186 เป็นกษัตริย์แห่งฝรั่งเศส และ นาแวร์ เมื่อมีพระชนมายุได้เพียง 5 ชันษา เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 3 ของราชวงศ์บูร์บง แห่งราชวงศ์คาร์เปเทียง ทรงครองราชย์นานถึง 72 ปี นับเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุดของประเทศฝรั่งเศส และนานกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์อื่นในทวีปยุโรป


พระราชประวัติ


พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ประสูติ ณ ปราสาทชาโต-เนิฟ เดอ
ซังต์ แจร์มัง ออง เลย์ นับเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์เพราะประสูติหลังจากที่พระบิดา(พระเจ้าหลุยส์ ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส) และพระมารดา(สมเด็จพระราชินีอานน์ แห่งออสเตรีย)ที่ได้อภิเษกสมรสกันมาเป็นเวลานานถึง 23 ปีโดยไม่มีโอรส-ธิดา จึงได้รับพระนามว่า หลุยส์ ดิเยอดอนเน ซึ่งแปลว่าหลุยส์ที่พระเจ้าทรงประทาน เนื่องจากพระองค์ประสูติตามคำสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าของพระเจ้าหลุยส์ ที่ 13 (ด้วยการทำพิธีถวายแผ่นดินฝรั่งเศสแด่พระแม่มารี เมื่อเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2181) ซึ่งหลังจากพระองค์ประสูติแล้ว สองปีต่อมา ก็มีพระอนุชา คือเจ้าชายฟิลิปป์ (ดยุคแห่งอองจู และเป็นดยุคแห่งออร์เลออง) ประสูติตามมา

พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักในนามของ "สุริยกษัตริย์" (le Roi soleil) พระเจ้าหลุยส์ทรงสถาปนา
ระบอบราชาธิปไตยในฝรั่งเศส ตามคำคมว่า รัฐ คือข้า ที่มีคนแอบอ้างว่าเป็นอัญพจน์ของพระองค์ ทำให้ระบอบดังกล่าวถูกมองว่าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่กษัตริย์มาปกครองประเทศตามบัญชาของสวรรค์ นักประวัติศาสตร์แสดงความเห็นขัดแย้งเกี่ยวกับคำคมดังกล่าวเพิ่มขึ้นทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากทราบกันว่ารัชสมัยของพระองค์นั้นโดดเด่นในเรื่องความก้าวหน้าทางด้านสิทธิของสาธารณชน ทำให้คำคมดังกล่าวที่ถูกอ้างมาผิดๆ้ ว่า่องค์พระประมุขกับรัฐเป็นสิ่งเดียวกันนั้นสวนทางกับข้อเท็จจริง นอกจากนี้ในรัชสมัยของพระองค์ ได้มีข้อกำหนดต่างๆเพิ่มมากขึ้นเพื่อต่อต้านนิกายโปรเตสแตนท์ และในปี พ.ศ. 2228 พระองค์ได้ทรงรื้อฟื้นพระบัญชาแห่งนองต์ อันเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นเมื่อกว่าหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมาโดยพระเจ้าอ็องรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส สมเด็จพระอัยกาของพระองค์อีกด้วย

พระองค์ได้ทรงลดทอนอำนาจของชนชั้นสูงที่เชี่ยวชาญในการรบ ด้วยทรงรับสั่งให้พวกเขาเหล่านั้นรับใช้พระองค์เช่นเดียวกับเหล่าสมาชิกในราชสำนัก อันเป็นการถ่ายโอนอำนาจมายังระบบธุรการแบบรวมศูนย์ และทำให้พวกเขาเหล่านั้นกลายเป็นชนชั้นสูงที่ใช้สติปัญญา พระองค์ทรงดำริให้สร้าง
พระราชวังแวร์ซาย ขึ้นในอุทยาน โดยมีการจัดสวนให้เป็นรูปทรงเรขาคณิต พระราชวังแวร์ซายที่มีขนาดใหญ่นี้ตั้งอยู่ห่างออกไปราว 15 กิโลเมตรทางตะวันตกของกรุงปารีส ที่เมืองแวร์ซาย ในเขตปริมณฑลของกรุงปารีส

พระองค์ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับ
พระนางมารี-เทเรส แห่งออสเตรีย ( พ.ศ. 2181 - พ.ศ. 2226) พระธิดาของพระเจ้าฟิลิปป์ที่ 4 แห่งสเปน กับพระนางเอลิซาเบธ แห่งฝรั่งเศส (พ.ศ. 2145 - พ.ศ. 2187) ทรงมีโอรสธิดารวมห้าพระองค์:

-เจ้าชาย
หลุยส์แห่งฝรั่งเศส(พ.ศ. 2204 - พ.ศ. 2254) ผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นมกุฎราชกุมาร
-เจ้าหญิงมารี-เทเรส (
พ.ศ. 2210 - พ.ศ. 2215)
-เจ้าหญิงอานน์-เอลิซาเบธ (
พ.ศ. 2205 - พ.ศ. 2205)
-เจ้าชาย
หลุยส์แห่งฝรั่งเศส( พ.ศ. 2210 - พ.ศ. 2226)
-เจ้าหญิงมารี-อานน์ (
พ.ศ. 2207 - พ.ศ. 2207)

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงมีพระสนมมากมาย ในจำนวนนั้น รวมถึง
หลุยส์ เดอ ลา วาลลิแยร์ อองเจลลิก เดอ ฟงตองจ์ มาดาม เดอ มงต์เตสปอง และ มาดาม เดอ มังเตอนง (ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงอภิเษกสมรสด้วยอย่างลับๆ ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของราชินี ในปี พ.ศ. 2227) ในวัยรุ่น พระองค์ได้ทรงรู้จักกับหลานสาวของพระคาร์ดินัลมาซารัง ชื่อมารี มองซีนี ความรักแบบเพื่อนของทั้งสองถูกขัดขวางโดยพระคาร์ดินัล ผู้ประสงค์ให้พระองค์อภิเษกสมรสกับราชนิกูลของประเทศสเปนเพื่อผลประโยชน์ของฝรั่งเศส และของตัวพระคาร์ดินัลเอง คนมักจะพูดกันว่านางสาวเดอ โบเวส์โชคดีมากที่ไม่ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แต่นักประวัติศาสตร์หลายคนก็ยังกังขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี พระเจ้าหลุยส์ยังทรงมีสัมพันธ์เป็นเวลายาวนานอีกกับเด็กสาวพนักงานซักรีดของพระราชวังลูฟ ด้วยความเจ้าชู้ของพระองค์ ต่อมาภายหลังได้ทรงรับสั่งให้สร้างบันไดลับไว้มากมายในพระราชวังแวร์ซายเพื่อจะได้สเด็จไปหาพระสนมของพระองค์ได้สะดวก ความสัมพันธ์ดังกล่าวทำให้พวกเคร่งศาสนากลุ่มหนึ่งไม่พอใจ โบสซูเอต์ กับ มาดาม เดอ มังเตอนง จึงพยายามชักชวนให้พระองค์หันกลับมาสู่ความทรงคุณธรรมอีกครั้ง ซึ่งทำคนทั่วไปรู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปของพระราชวังแวร์ซายได้ แต่ก็ทำให้ผู้บันทึกประวัติหลายคนรู้สึกเสียดาย
ปัญหาเรื่องพระพลานามัยที่ทรุดโทรมและปัญหาการหารัชทายาท ทำให้เกิดบรรยากาศเศร้าสลดขึ้นในช่วงปลายรัชสมัย พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พระองค์ต้องสูญเสียพระโอรส เจ้าชายหลุยส์แห่งฝรั่งเศส (มกุฎราชกุมาร) ไปในปี
พ.ศ. 2254 ในปีถัดมา ดยุคแห่งบูกอญจ์ ผู้เป็นพระราชนัดดา พร้อมด้วยโอรสองค์โตของดยุคพระองค์นี้ก็ได้สิ้นพระชนม์ลงอีกด้วยโรคฝีดาษ องค์มกุฎราชกุมารทรงมีพระโอรสอีกสององค์ ซึ่งหนึ่งในนั้นได้เป็นกษัตริย์ของสเปนภายใต้พระนามว่าฟิลลิปเปที่ 4 แห่งสเปน เป็นผู้ซึ่งปฏิเสธสิทธิในการขึ้นครองบัลลังก์ฝรั่งเศสที่สืบเนื่องมาจากสงครามชิงบัลลังก์ในสเปนภายใต้สนธิสัญญาอูเทรชต์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2257 ดยุคแห่งแบรี โอรสอีกพระองค์หนึ่งของมกุฎราชกุมารก็สิ้นพระชนม์ลงอีกด้วย ราชนิกูลชายผู้สืบเชื้ออย่างถูกต้องจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ในขณะนั้นจึงได้แก่ดยุคแห่งอองจู พระโอรสองค์รองของเจ้าชายแห่งบูกอญจ์ ผู้เป็นเหลนของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ประสูิติเมื่อปี พ.ศ. 2253แต่ก็เป็นเด็กชายผู้มีพลานามัยเปราะบาง นอกเหนือจากดยุคแห่งอองจูผู้ซึ่งได้รับตำแหน่งมกุฎราชกุมารแล้ว ก็มีเจ้าชายผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากพระองค์อยู่อีกไม่มากในสายมารดาอื่น พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จึงทรงตัดสินพระทัยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ราชวงศ์ด้วยการมอบสิทธิ์การขึ้นครองบัลลังก์ให้แก่เจ้าชายอีกสองพระองค์ด้วยเช่นกัน ได้แก่เจ้าชายหลุยส์ ออกุสต์ เดอ บูร์บง ดยุคแห่งเมน และเจ้าชายหลุยส์ อเล็กซองเดรอ เคาท์แห่งตูลูส พระโอรสอันชอบธรรมสองพระองค์ที่ประสูติแต่มาดาม เดอ มงต์เตสปอง

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2258 ด้วยโรคติดเชื้อจากแผลกดทับ พระองค์ได้ทรงประกาศก่อนสิ้นพระทัยว่า "ข้าจะไปแล้ว แต่รัฐของข้าจะคงอยู่ตลอดไป" รัชสมัยของพระองค์กินเวลา 72 ปี กับ 100 วัน พระศพถูกฝังไว้ที่บาซิลิก ซังต์ เดอนี ซึ่งหลุมพระศพนี้ถูกบุกรุกทำลายในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศสในกาลต่อมา ดยุคแห่งอองจู เหลนของพระองค์ผู้มีพระชนม์เพียงห้าชันษาได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์ต่อมา ภายใต้พระนามว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แ่ห่งฝรั่งเศส โดยมีเจ้าชายฟิลิปป์ ดยุคแห่งออร์เลอง พระนัดดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นผู้สำเร็จราชการตลอดช่วงที่กษัตริย์ยังทรงพระเยาว์


การเมืองการปกครอง

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กับองค์รัชทายาท
ช่วงรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั้นโดดเด่นด้วยการรังสรรค์วัฒนธรรมชั้นสูงของฝรั่งเศส ภาษาฝรั่งเศสได้กลายเป็นภาษาของคนชั้นสูง และภาษาทางการทูตในช่วง
คริสต์ศตวรรษที่ 17 และ คริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศรัสเซีย
ในปี พ.ศ. 2217 รัฐบาลฝรั่งเศสได้ซื้อหมู่เกาะมาร์ตีนีก มาจากบริษัทเอกชนแ่ห่งหนึ่งที่ยึดเกาะนี้มาได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2178 ในปี พ.ศ. 2232 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ทรงประกาศ"กฎดำ" ที่ให้อนุญาตให้มีทาสได้ในดินแดนอาณานิคม ผู้ที่ชื่นชมพระองค์ได้มองกฎดำนี้ว่าเป็นกฎที่ทำให้มีการค้าทาสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อจะได้จำกัดการกระทำทารุณกรรมต่อทาส และมอบสถานภาพทางสังคมให้แก่ทาส ซึ่งก่อนหน้านี้ เป็นได้เพียงทรัพย์สมบัติโดยตรงของเจ้าของทาส เฉกเช่นสิ่งของเครื่องใช้ และด้วยกฎนี้ พวกทาสสามารถมีสิทธิ์เป็นเจ้าของทรัพย์สินได้ในจำนวนจำกัด มีสิทธิ์เกษียณอายุเมื่อถึงวัยชรา มีสิทธิ์ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากเจ้าของ และได้รับอาหารที่ดี กฎดำจึงกลายเป็นกรอบของสนธิสัญญาทาสในสมัยนั้น
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงเป็นที่รักและเคารพของประชาชนชาวฝรั่งเศส จากการที่พระองค์ทำให้ประเทศเกรียงไกรและแผ่ขยายอาณาเขตไปเป็นอันมาก อย่างไรก็ดี การตกอยู่ในภาวะสงครามตลอดเวลาทำให้รัฐต้องขาดดุล และต้องเก็บภาษีอากรจากชาวไร่ชาวนาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
อเล็กซิส เดอ ทอกเกอวิลล์ นักประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสได้แสดงความเห็นว่า การที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เปลี่ยนพวกชนชั้นสูงให้กลายเป็นข้าราชบริพารธรรมดา รวมทั้งยังเข้าพวกกับผู้ดีใหม่ที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้แต่ไม่ให้มีอำนาจทางการเมือง มีส่วนผลักดันให้เกิดความไม่มั่นคงในสเถียรภาพทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในเวลาต่อมา และเป็นชนวนก่อให้เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสในที่สุด


ในช่วงต้นของรัชสมัย ประเทศมหาอำนาจในยุโรปอีกประเทศหนึ่งคือ
ประเทศสเปน ในขณะที่สหราชอาณาจักร โดยเฉพาะอังกฤษ ได้กลายเป็นประเทศมหาอำนาจในช่วงปลายรัชสมัยของพระองค์