เครื่องบินที่เก่าแก่ที่สุด ไรต์ ฟลายเออร์ 1 ของวิลเบอร์และออร์วิล ไรต์ สัญชาติอเมริกัน เที่ยวบินแรกมีขึ้นในปี 1904Wright Flyer จำลอง เครื่องบินที่พังเร็วที่สุด Bachem Ba-39 "Natter" เป็นเครื่องบินที่ใช้เครื่องยนต์จรวดของฝ่ายเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง หลักการก็แสนง่าย กล่าวคือยิงมันขึ้นไปบนท้องฟ้าและสาดกระสุนใส่เครื่องบินทิ้งระเบิดของสัมพันธมิตรให้มากที่สุด ก่อนจะถอดหัวและกลับลงพื้นด้วยร่มชูชีพเนื่องจากไม่มีล้อเพราะสร้างไม่ทัน (จะแพ้สงครามอยู่แล้ว) การทดสอบด้วยเครื่องควบคุมภาคพื้นดินเป็นไปได้ด้วยดี แต่เพียงขึ้นทดสอบด้วยนักบินครั้งแรกก็ตูม เนื่องจากฝาครอบห้องนักบินล็อกไม่สนิท เมื่อขึ้นไปกลางอากาศเกิดแรงต้านจึงร่วงวูบ นักบินช็อกจากแรงปะทะของอากาศและหมดสติขณะเครื่องโหม่โลก อาเมน.....เครื่อง บินโดยสารไอพ่นรุ่นแรกสุด เดอ ฮาวิลแลนด์ โคเมต ของอังกฤษ ใช้เครื่องยนต์เดอ ฮาวิลแลนด์ โกสต์ 4 เครื่อง ตอนแรกดูเหมือนจะไปได้ด้วยดี แต่ในที่สุดก็เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นติดๆกัน จากการสอบสวนพบว่าขอบหน้าต่างสี่เหลี่ยมเกิดร้าวเนื่องจากการรับการเปลี่ยนแรงกดดันเมื่อลงจอดและอยู่ในระดับบินซึ่งค่อนข้างสูง ในที่สุดเมื่อบ่อยครั้งเข้าเครื่องทั้งเครื่องก็ฉีกออกเป็นชิ้นๆด้วยแรงดันอากาศ เครื่องทั้งหมดถูกสั่งห้ามบิน และกว่าจะได้บินอีกครั้งก็ถูกโบอิ้ง 707 และดักลาส DC-8 ของอเมริกันแย่งตลาดไปหม่ำเรียบร้อยโรงเรียนจีน ขายไม่ออก เจ๊ง.....De Havilland D.H.146 Comet ทะเบียน G-BDIT สายการบิน Dan Air London ท่าอากาศยานดึซเซลดอร์ฟ เยอรมนี เครื่องบินที่ใช้งานในเชิงพาณิชย์นานที่สุด ดักลาส DC-3 ผลิตโดยดักลาส สัญชาติอเมริกัน ใช้มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง จนบัดนี้ยังคงใช้อยู่บ้างในบางสายการบินโดยเฉพาะในแอฟริกาและอเมริกาใต้ รวมทั้งกองทัพอากาศไทยก็มี DC-3 สำหรับใช้ขนส่งทางทหาร (ชื่อเรียก Dakota) อยู่ด้วยDouglas DC-3 ทะเบียน HB-ISC สายการบินสวิสแอร์ เครื่องบินไอพ่นเชิงพาณิชย์ที่ขายดีที่สุด โบอิ้ง 737 ตั้งแต่รุ่น 100 ที่อวดโฉมต่อสายตาชาวโลกเมื่อทศวรรษ 1960 จนถึงรุ่น -600/-700/-800/-900/BBJ ที่อยู่ในตลาดทุกวันนี้รวมกันได้มากกว่าห้าพันลำ กินขาดโบอิ้ง 707 และ 727 สบายๆBoeing 737-4D7 ทะเบียน HS-TDG การบินไทย เหนือกรุงเทพมหานครเครื่องบินเชิงพาณิชย์ที่บินได้ไกลที่สุด ในการปฏิบัติการปกติ แอร์บัส เอ340-500 โดยแอร์บัส SAS ของฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน สเปนและเนเธอร์แลนด์ บินได้ไกลประมาณ 16,000 กิโลเมตรAirbus A340-541 ทะเบียน HS-TL? การบินไทย ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงเทพ (ดอนเมือง) ของเรานั่นเองเครื่องบินไอพ่น 2 เครื่องยนต์ที่บินได้ไกลที่สุด โบอิ้ง 777-200LR แน่นอนว่าโดยโบอิ้ง บินได้ไกล 17,000 กิโลเมตร ออกโชว์ครั้งแรกในงานปารีสแอร์โชว์ 2005 ที่ท่าอากาศยานเลอเบอร์เก้ ปารีส ฝรั่งเศสBoeing 777-240LR ที่ท่าอากาศยาเลอเบอร์เก้ (Le Bourget) ปารีส ฝรั่งเศสเครื่องบินทิ้งระเบิดไอพ่นที่ใช้งานนานที่สุด โบอิ้ง B-52 สตราโตฟอร์เทรส ใช้มาตั้งแต่ปี 1952 บัดนี้มีตั้งแต่รุ่น B-52A ถึง B-52HBoeing B-52 Stratofortress ของกองทัพอากาศสหรัฐฯเครื่องบินที่ถูกนับว่าปลอดภัยที่สุด อิลยุชชิน IL-96 ของอิลยุชชิน รัสเซีย บินครั้งแรกในปี 1986 ยังไม่เคยประสบอุบัติเหตุเลยสักลำ ยกเว้นการเสียเล็กเสียน้อยIlyushin IL-96-300 ทะเบียน RA-96010 สายการบินแอโรฟลอต (Aeroflot Russian International airlines - ARIA) ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงเทพเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุด และมีน้ำหนักบินขึ้น (Max Takeoff Weight) มากที่สุด แอนโตนอฟ An-225 Mriya (Dream) โดยแอนโตนอฟ รัสเซีย น้ำหนักบินขึ้นสูงสุด (Max Takeoff Weight - MTOW) ประมาณ 1,250,000 ปอนด์ เป็นเครื่องบินลำแรกที่มีน้ำหนักบินขึ้นสูงสุดเกินหนึ่งล้านปอนด์ และสามารถบรรทุกสินค้าได้สูงสุดกว่า 500,000 ปอนด์ ความกว้างปลายปีกถึงปลายปีก 85 เมตร (โดยปกติแล้วน้ำหนักบินขึ้นถือเป็นเกณฑ์วัด "ความใหญ่" ของเครื่องบิน)Antonov An-225 Mriya ทะเบียน UR-82060 ของบริษัท Antonov Design Bureau ให้บริการขนส่งสินค้าทั่วโลก (ตามแต่คนจ้าง.....) ท่าอากาศยานนานาชาติเอเลฟเทริออส เวนิเซลอส (Eleftherios Venizelos) กรุงเอเธนส์บัน) เครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุด (ที่ใช้งานแล้วในปัจจุบันโบอิ้ง) ป747-400 (หากจะนับน้ำหนักบินขึ้นมากที่สุดก็คือรุ่น 747-400D ซึ่งเพิ่มความสามารถในการบรรทุกแต่ลดพิสัยบินลง สามารถจุคนได้กว่า 550 คน)Boeing 747-4D7 ทะเบียน HS-TG? การบินไทย ท่าอากาศยานมืนเชน (มิวนิค) มิวนิค เยอรมนีเครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุด แอร์บัส เอ380-800 นั่งได้ 555 คนในการจัดที่นั่งแบบ 3 ชั้น (ตามที่แอร์บัสเคลมเอาไว้) กำหนดส่งมอบละแรก (ให้สิงคโปร์แอร์ไลน์ส) ในปลายปี 2549 นี้ การบินไทยสั่งจอง 6 ลำ กว่าจะได้คงอีกชาติเศษๆAirbus A380-841 ทะเบียน F-WWOW ลำต้นแบบของบริษัทแอร์บัสอินดัสตรีส์ ที่ท่าอากาศยานบลันนัค (Blagnac) ตูลูส ฝรั่งเศสเครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซีย อิลยุชชิน IL-96 ของอิลยุชชิน รัสเซีย นั่งได้ประมาณ 300 คน ขนาดพอๆกับโบอิ้ง 767-200ER อิลยุชชินหมดตังค์เลยไม่ได้พัฒนาต่อ ถ้าพัฒนาต่อมันจะใหญ่พอๆกับโบอิ้ง 777 หรือแอร์บัส เอ340-300 และคงขายได้เยอะเพราะถูกกว่าบริษัทคู่แข่งทั้งสองIlyushin IL-96-300 ทะเบียน RA-96008 สายการบินแอโรฟลอต (Aeroflot Russian International airlines - ARIA) ท่าอากาศยานนานาชาติเชเรเมติเยโว (Sheremetyevo) มอสโก รัสเซีย เครื่องบินเชิงพาณิชย์ที่บินเร็วที่สุด ตูโปเลฟ Tu-144 ของตูโปเลฟ รัสเซีย ชื่อเรียกของ NATO เรียกว่า Charger หรือ Concordski (นัยว่าเป็นคองคอร์ดสัญชาติรัสเซีย) ความเร็วสูงสุด มัค 2.5 ซึ่งเร็วกว่าคองคอร์ดที่บินได้เพียงมัค 2.0-2.2 เท่านั้นTupolev Tu-144 (Nato Reporting Name "Charger" หรือ "Concordesky") ทะเบียน CCCP-77112 สายการบินแอโรฟลอต (Aeroflot Russian International airlines - ARIA) ปลดระวางแล้ว ที่พิพิธภัณฑ์อากาศยาน เยอรมนีเครื่องบินทางทหารที่บินได้เร็วที่สุด เครื่องบินสอดแนมระดับสูงล็อกฮีด SR-71 แบล็กเบิร์ด ของล็อกฮีด สหรัฐอเมริกา บินได้เร็วมัค 3.3 ปัจจุบันตกงานเนื่องจากดาวเทียมสะดวกกว่า บ๊ายบาย แบล็กเบิร์ด.....Lockheed SR-71 Blackbird ของกองทัพอากาศสหรัฐ ที่ฐานทัพอากาศเนลลิส - ลาสเวกัสเครื่องบินคนบังคับที่บินได้เร็วที่สุด นอร์ท อเมริกัน X-15 ซึ่งเป็นเครื่องบินวิจัยการบินด้วยความเร็วเหนือเสียงระดับสูง (Hypersonic) บินได้เร็ว 6.5มัคซึ่งถือเป็นความเร็วสูงสุดที่เครื่องบินที่มีมนุษย์ควบคุมทำได้ ที่เร็วกว่านั้นจะเป้นบังคับจากภาคพื้นดินทั้งหมดNorth American X-15 ขององค์การอวกาศสหรัฐฯ (NASA)เครื่องบินใช้ใบพัดที่บินเร็วที่สุด เครื่องบินทิ้งระเบิดตูโปเลฟ Tu-95 ของรัสเซีย บินได้เร็ว 575 นอต ซึ่งเทียบเท่าความเร็วของเครื่องบินไอพ่นระดับ B-52 เลยทีเดียว ที่แรงดีขนาดนี้ก็เพราะใช้เครื่องยนต์ที่มีกำลังมากที่สุดในโลกคือ Kuznetsov NK-12MV Turboprop ซึ่งให้กำลัง 59,180 แรงม้า 4 เครื่อง และขับเคลื่อนใบพัดเครื่องละสองใบหมุนในทิศตรงข้ามกัน ซึ่งยังผลให้เสริมแรงซึ่งกันและกัน ทำให้ได้ความเร็วและแรงม้าระดับนี้ขึ้นมาTupolev Tu-95 (NATO Reporting Name "Bear") ของกองทัพอากาศโซเวียตเครื่องบินที่ถูกสร้างขึ้นมามากรุ่นที่สุด ดักลาส DC-8 ของดักลาส สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่บินครั้งแรกในปี 1958 ในรหัสรุ่น DC-8-10 ก็มีรุ่นต่อมาเรื่อยๆ จนเลิกผลิตที่ DC-8-62 แต่ยังคงมีคนดัดแปลงโดยการติดตั้งเครื่องยนต์ใหม่และให้ชื่อรุ่นว่า DC-8-72 และ -73Douglas DC-8-62 ทะเบียน HS-??? การบินไทยของเรานั่นเอง ที่ท่าอากาศยานไกตั๊ก (Kai Tak) ฮ่องกงแอร์ ฟอร์ซ วัน (สหรัฐฯ) โบอิ้ง VC-25A (747-2G4B หรือ 747-200B นั่นเอง)Boeing VC-25A (Boeing 747-2G4B) "แอร์ ฟอร์ซ วัน" ที่ท่าอากาศยานเฟริเฮกี (Ferihegy) บูดาเปสต์เครื่องบินโดยสารในปัจจุบันที่ใช้เครื่องยนต์ไอพ่นที่มีแรงขับดันน้อยที่สุด แยคคอฟเลฟ Yak-40 ของรัสเซีย ใช้เครื่องยนต์ Ivchenko Turbofan แรงขับดัน 3,100 ปอนด์ 3 เครื่องYakovlev Yak-40 ทะเบียน RA-88240 เครื่องบินส่วนตัวเครื่องบินโดยสารในปัจจุบันที่ใช้เครื่องยนต์ไอพ่นที่มีแรงขับดันมากที่สุด โบอิ้ง 777 ใช้เครื่องยนต์ Pratt & Whitney PW4000 series/GE GE90 series/Rolls Royce Trent 800 series ซึ่งมีแรงขับดันระหว่าง 76,000-115,000 ปอนด์)Boeing 777-3D7 ทะเบียน HS-TKC การบินไทย ที่ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงเทพเครื่องบินไอพ่นที่ใช้เครื่องยนต์มากที่สุด โบอิ้ง B-52 Stratofortress ใช้เครื่องยนต์ TF-33-P-3/103 Turbofan ทั้งหมด 8 เครื่อง แต่แรงขับดันรวมเพียง 605 กิโลนิวตัน (ประมาณ 136,000 ปอนด์) ซึ่งน้อยกว่าโบอิ้ง 777 หรือแอร์บัส เอ330 เสียอีกBoeing B-52 Stratofortress ของกองทัพอากาศสหรัฐฯเครื่องบินที่มีแรงขับดันรวมของเครื่องยนต์มากที่สุด แอนโตนอฟ AN-225 Mriya เจ้าเก่า ใช้เครื่องยนต์ ZMKB-Lotarev D-18T Turbofan 6 เครื่อง เครื่องละ 226kN รวมเป็น 1,326 kNAntonov An-225 Mriya ทะเบียน UR-82060 เจ้าเก่า ท่าอากาศยานนานาชาติเอเลฟเทริออส เวนิเซลอส (Eleftherios Venizelos) กรุงเอเธนส์สายการบินที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงให้บริการ เอเวียนคา โคลัมเบีย ตั้งขึ้นในปี 1918Boeing 767-284ER ทะเบียน N988AN สายการบินเอเวียนคา โคลัมเบีย ท่าอากาศยานกัวรูลฮอส (Aeroporto Internacional Guarulhos) เซาเปาโล บราซิลสายการบินที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงใช้ชื่อเดิมตั้งแต่ก่อตั้งไม่เคยเปลี่ยน Koninklijke Luchivaart Maatschappij NV หรือที่รู้จักกันทุกวันนี้ว่าKLM โรยัล ดัตช์ แอร์ไลน์ ตั้งในปี 1919 ยังคงใช้ชื่อเดิมอยู่ และคงจะใช้ต่อไปอีกนานMcdonnell Douglas (ตอนนี้เป็นโบอิ้ง) MD-11 ทะเบียน PH-KCE ท่าอากาศยานสคิฟฮอล (Schiphol) อัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์เครื่องบินลำแรกสุดที่ลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ แอร์บัส A340-600 ทะเบียน HS-TNA "วัฒนานคร" (ลำที่สองเป็นโบอิ้ง 747-4D7 (747-400))Airbus A340-642 ทะเบียน HS-TNA การบินไทย ที่ท่าอากาศยานเคลอเตน (Kloten) ซูริค สวิตเซอร์แลนด์เครื่องบินรบรุ่นใหม่ล่าสุดของโลก ล็อกฮีด YF-35 ของสหรัฐฯ มิโกยัน Mig-144 (ชื่อไม่เป็นทางการ) ของรัสเซีย ซุคฮอย Su-37 เบอร์คุต (อินทรีทอง) รัสเซียเช่นกัน ยูโรไฟท์เตอร์ 2000 (ยูโรไฟท์เตอร์ ไต้ฝุ่น) โดยความร่วมมือระหว่างประเทศในยุโรป เครื่องบินที่ไม่มีหางลำแรกของโลก นอร์ธรอป YB-49 ของนอร์ทรอป แต่กองทัพสหรัญไม่สั่ง เนื่องจากปัญหาด้านเครื่องยนต์ที่ซ่อมยาก การควบคุมที่ไม่ดีและอุบัติเหตุหลายครั้งหลายครา จนในที่สุดโครงการก็มีอันต้องพับฐานไป และแจ็ค นอร์ธรอป (ผู้เสนอไอเดีย) ก็ฝันค้าง.... เครื่องบินไม่มีหางที่ใช้งานจริง ได้ลำแรกของโลก นอร์ธรอป-กรัมแมน B-2 สร้างห่างจาก YB-49 ถึงเกือบ 40 ปี โดย B-2 ใช้ระบบ "Fly-by-wire" หรือการใช้ไฟฟ้าควบคุมอุปกรณ์และระบบบังคับต่างๆ รวมทั้งนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ช่วยในการควบคุม ทำให้ความฝันของนอร์ทรอปเป็นจริงขึ้นมาจนได้..... (คลาสสิก)Northrop-Grumman B-2 Spirit ของกองทัพอากาศสหรัฐฯลายเรือพระที่นั่ง 3 ลำของการบินไทย โบอิ้ง 747-4D7 HS-TGJ นามพระราชทาน หริภุญชัย (ลายสุพรรณหงส์) โบอิ้ง 747-4D7 HS-TGO นามพระราชทาน บวรรังสี (ลายสุพรรณหงส์เช่นเดียวกัน) แอร์บัส A330-322 HS-TEK นามพระราชทาน ศรีจุฬาลักษณ์ (ลายนารายณ์ทรงสุบรรณ) (โบอิ้ง 747-400 ทั้งสองลำถูกนำไปทำสีใหม่ (ลายหางม่วง) เรียบร้อยแล้ว น่าเสียดาย.....)Boeing 747-4D7 ทะเบียน HS-TGO การบินไทย ท่าอากาศยานเคลอเตน ซูริค สวิตเซอร์แลนด์Airbus A330-322 ทะเบียน HS-TEK การบินไทย ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงเทพ
Thursday, May 31, 2007
รวมไอติมรสแปลกๆๆๆของญี่ปุ่น
Sunday, May 6, 2007
กรรมวิธีทำไอศกรีม ก่อนมีการคิดค้นเครื่องทำความเย็น
นมและครีมแข็งตัวในอุณหภูมิประมาณ -7 องศาเซลเซียส ชาวอาหรับเป็นผู้ค้นพบว่าการเติมโซเดียมไนเตรต (โพแทสเซียมไนเตรต ส่วนประกอบในดินประสิว) ในน้ำเย็นทำให้เกิดปฏิกิริยาดูดซับความร้อน ซึ่งลดอุณหภูมิจนต่ำลงมากพอจะทำไอศกรีมกรรมวิธีนี้น่าจะเผยแพร่สู่ยุโรปเมื่อครั้งที่ชาวมัวร์ ครอบครองสเปนในปี ค.ศ. 711ถึง ค.ศ. 1492
" ประวัติศาสตร์ไอศกรีมที่เสิร์ฟในอังกฤษครั้งแรกเกิดขึ้นในงานเลี้ยงฉลองเซนต์จอร์จเมื่อปี 1671 สมัยพระเจ้าชาลสที่ 2 มีเฉพาะผู้นั่งร่วมโต๊ะกับกษัตริย์เท่านั้น ที่ได้รับของหวานสุดหรูจานนี้และพวกเขา จะกินเคียงกับสตรอเบอรี " ลิซา กรีน ผู้บริหารสูงสุดของสมาพันธ์ไอศกรีมแห่งอังกฤษ กล่าว
สุภาษิตและวาทะคนดัง
ในโลกนี้ คนทุกชาติทุกภาษาไม่ว่าไทย ฝรั่ง จีน ฯลฯ ต่างมีคำคมเตือนใจไว้เตือนตนและเตือนลูกหลานให้รู้จักแนวทางดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและมีคุณค่าแก่สังคม คำชนิดนี้คือ สุภาษิต นั่นเอง
ย้ำ – สุภาษิต เท่านั้นจึงจะดี ทุภาษิตเราไม่เกี่ยวนะครับ ทุ แปลว่า ไม่ดี, เลว, ผิด
เพราะบางทีมีมนุษย์อุตริแปลงคำสอนดีๆให้เป็นคำเพี้ยนๆไปเพื่อความสะใจ เช่น เขาสอนลูกหลานกันมาดีๆว่า “ออมไว้ ไม่ขัดสน” ก็ดันไปตัด “อ.อ่าง” ออกเสียตัวหนึ่ง เป็น “อมไว้ ไม่ขัดสน” ก็จะกลายเป็นแนะให้เป็นคนคดโกงไปเสีย อย่างนี้มิใช่สุภาษิตแน่ๆ
อันสุภาษิตทุกชาติต่างก็กำเนิดขึ้นมากับวัฒนธรรม และ ผูกพันอยู่กับวัฒนธรรมตลอดจนความเป็นอยู่ของตน ดังนั้น เมื่อความเป็นอยู่และวัฒนธรรมแต่ละชาติมีความแตกต่าง สุภาษิตฝรั่งหลายบทจึงอาจจะเข้าใจยากสำหรับชาวสยามเมืองยิ้มอย่างเรา แต่ส่วนที่คล้ายคลึงกันก็มิใช่น้อย
นอกจากสุภาษิตแล้วยังมีคำกล่าวที่คมคายน่าฟังของคนดังทั้งหลายในแต่ละชาติบ้านเมืองกล่าวไว้อย่างน่าฟังมีคติเตือนใจไม่แพ้สุภาษิต วาทะ (Saying) เหล่านั้นเมื่อเรานำมาใช้พูดหรืออ้างถึงก็เรียกว่า Quotations ส่วนผมๆก็ว่า Saying ก็ไม่แตกต่างกับสุภาษิตเท่าใดนักหรอก เมื่อทั้ง Proverbs หรือ Sayings ต่างให้ข้อคิดเตือนใจเกี่ยวกับวิถึชีวิตทั้งสิ้น
คนเรานี่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าคนพูดหรือเจ้าของวาทะยังอยู่ (ยังไม่ตาย) ก็คงเป็นแค่ Saying เป้นแค่ “คำกล่าว” หรือ “วาทะ” น่าฟัง…..นู่น….ผ่านไปสักร้อยปีสองร้อยปีโน่นกระมัง เขาจึงจะยอมรับว่าเป็น Proverb หรือสุภาษิต
ทีนี้ เรามาดูสุภาษิตและวาทะคนดังนานาประเทศกันสักหน่อย น่าฟังและท้าทายให้คิดทั้งนั้น
- Drink nothing without seeing it; Sign nothing without reading it. อย่าดื่มโดยไม่ได้เห็น อย่าเซ็นชื่อโดยไม่ได้อ่าน (ภาษิตสเปน)
- The eyes believe themselves; the ears believe other people. ตาเชื่อตัวเอง หูเชื่อผู้อื่น (ภาษิตเยอรมัน)
- Fast Ripe, Fast Rotten. สุกไว เสียไว (ภาษิตญี่ปุ่น)
- A half-truth is a whole lie. พูดความจริงครึ่งเดียว ก็คือการโกหกทั้งหมด (ภาษิตยิว)
- He who must die, must die in the dark, even though he sells candles. คนที่ตายก็ต้องตายในความมืด แม้เขาจะขายเทียนไขก็ตาม (ภาษิตโคลัมเบีย)
- He who would rule must hear and be deaf, see and be blind. นักปกครองต้องรู้จักฟังและปิดหู รู้จักดูและปิดตา (ภาษิตเยอรมัน)
- He who asks is a fool for five minutes, but he who does not ask remains a
fool forever.
ถามเขาอาจดูว่าโง่เพียง 5 นาที แต่คนที่ไม่ถามสักทีอาจโง่ไปชั่วชีวิต (ภาษิตจีน)
- He who has health has hope; and he who has hope, has everything. คนมีสุขภาพดีย่อมมีความหวัง คนมีความหวังมีทุกสิ่งทุกอย่าง (ภาษิตอาหรับ)
- A weed is a plant we’ve found no use for yet.
วัชพืชคือพืชที่เรายังค้นหาประโยชน์ไม่พบ (ราล์ฟ วัลโด อีเมอร์สัน)
- A penny saved is a penny earned.
เก็บออมไว้หนึ่งเพนนีเท่ากับหาเงินได้หนึ่งเพนนี (สุภาษิตสก็อต)
- A rolling stone gathers no moss.
หินกลิ้งตะไคร่ไม่จับ (จอห์น เฮย์วูด) หมายถึงคนที่เปลี่ยงานบ่อยๆหรือย้ายที่ตั้งถิ่น
ฐานบ่อยๆจะพบความสำเร็จได้ยาก
- Ability may get you to the top but it’s character that will keep you there.
(อับราฮัม ลิงคอล์น)
ความสามารถอาจทำให้ท่านขึ้นสู่ตำแหน่งยิ่งใหญ่แต่สิ่งที่ทำให้ดำรงอยู่ได้คือคุณธรรม
- Actions speak louder than words.
การกระทำดังกว่าคำพูด (อับราฮัม ลิงคอล์น)
- Beware of the young doctor and the old barber.
พึงระวังหมอหนุ่มกับช่างตัดผมแก่ (เบนจามิน แฟรงกลิน)
- By learning you will teach; by teaching you will learn.
จากการเรียนคุณจะสอนได้ และจากการสอนคุณจะก็ได้เรียนเช่นกัน (ภาษิตลาติน)
- Don’t open a shop unless you know how to smile. อย่าเปิดร้านขายของ ถ้าคุณไม่รู้จักยิ้ม (ภาษิตยิว)
- Good men must die, but death cannot kill their names.
คนดีก็ต้องตาย แต่ความตายหาทำลายชื่อเสียงเขาได้ไม่ (ภาษิตสเปน)
- If you are a host to your guest, be a host to his dog also. ถ้าคุณต้อนรับแขก จงต้อนรับหมาของเขาด้วย (ภาษิตรัสเซีย)
- Love makes time pass. Time makes love pass.) ความรักทำให้กาลเวลาผ่านไป เวลาก็ทำให้ความรักผ่านไปเช่นกัน (ภาษิตฝรั่งเศส)
- A little pot boils easily. หม้อใบเล็กเดือดไว (ภาษิตดัทช์)
- Though a tree grow ever so high, the falling leaves return to the ground. ต้นไม้สูงเพียงไหน ใบก็ต้องร่วงสู่ดิน
- Words must be weighed, not counted. คำพูดสำคัญที่น้ำหนัก มิใช่จำนวน (ภาษิตโปแลนด์)
- Wheresoever you go, go with all your heart. ไม่ว่าจะไปแห่งใด เอาหัวใจไปด้วย (ขงจื๊อ – ปราชญ์จีน)
- When you go to buy, use your eyes, not your ears. จงซื้อของด้วยตา อย่าซื้อด้วยหู (ภาษิตเช็คโก)
- When one shuts one eye, one does not hear everything. ถ้าปิดตาก็จะไม่ได้ยินสิ่งใดๆ (ภาษิตสวิส)
- Use soft words and hard arguments. ใช้คำให้นุ่มนวลและโต้แย้งให้หนักหน่วง (ภาษิตอังกฤษ)
- To know and to act are one and the same. รู้และทำได้ ต้องเป็นสิ่งเดียวกัน (ภาษิตซามูไร – นักรบญี่ปุ่น)
- A tree never hits an automobile except in self defense. ต้นไม้ไม่เคยชนรถหรอก นอกจากป้องกันตนเองเท่านั้น (ภาษิตอเมริกัน)
- Well begun is half done. เริ่มต้นด้วยดีเท่ากับสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง (อริสโตเติ้ล)
- The hand that rocks the cradle, rules the world.
มือที่ไกวเปลคือมือที่ครองโลก (วิลเลี่ยม รอส วอลเลซ)
- Small children give you a headache, big children a heartache.
เด็กเล็กทำให้คุณปวดหัว แต่เด็กโตทำให้คุณปวดใจ (ภาษิตรัสเซีย)
- Better three hours too soon than a minute too late.
มาไวไปสามชั่วโมง ดีกว่ามาช้าหนึ่งนาที (วิลเลียม เชคสเปียร์)
- People learn more on their own rather than being force fed.
คนจะเกิดการเรียนรู้ด้วยตนมากกว่าที่จะถูกยัดเยียดความรู้ให้ (โสเครตีส)
- An army of sheep led by a lion would defeat an army of lions led by a sheep.
กองทัพแกะที่นำโดยสิงโตย่อมชนะกองทัพสิงโตที่นำโดยแกะ (ภาษิตอาหรับ)
- Ask the experienced rather than the learned.
ถามไถ่ผู้มีประสบการณ์ดีกว่าถามผู้รู้ (ภาษิตอาหรับ)
- Be on your guard against a silent dog and still water. ระวังหมาเงียบกับน้ำนิ่ง (ภาษิตลาติน)
- The blind man is laughing at the bald head. คนตาบอดหัวเราะคนหัวล้าน (ภาษิตอิหร่าน)
- Don’t live in a town where there are no doctors.
อย่าอาศัยอยู่ในเมืองที่ไม่มีหมอ (ภาษิตยิว)
- Everyone thinks his own burden heavy.
แต่ละคนคิดว่างานของตนหนักกว่าใคร (ภาษิตฝรั่งเศส)
- The first drink with water, the second without water, the third like water. แก้วแรกดื่มกับน้ำ แก้วสองดื่มโดยไม่ผสมน้ำ แก้วสามดื่มราวกับน้ำ (ภาษิตสเปน)
- The road to a friend’s house is never long.
ถนนไปบ้านเพื่อนไม่เคยไกล (ภาษิตเดนมาร์ก)
- Our greatest weakness lies in giving up.
ความอ่อนแอที่แย่ที่สุดของมนุษย์คือการล้มเลิกเสียกลางคัน (โทมัส เอดิสัน)
- Destroy your enemy by making him your friend.
จงทำลายศัตรูของท่านด้วยการทำให้เขาเป็นมิตร (อับราฮัม ลิงคอล์น)
- When love and skill go together, expect a masterpiece.
เมื่อความรักกับทักษะไปด้วยกัน มั่นใจได้ว่าจะมีผลงานชิ้นเอก (จอห์น รัสกิน)
- To be wronged is nothing unless you continue to remember it.
การโดนดูหมิ่นแท้จริงไม่มีอะไรถ้าไม่เก็บเอาไปใส่สมอง (ขงจื๊อ)
- If you reveal your secrets to the wind you should not blame the wind for revealing them to the trees. ถ้าบอกความลับกับลม ก็ไม่ควรตำหนิลมที่นำความลับไปบอกต้นไม้ (คาห์ลิล ยิบราน)
- When anger rises, think of the consequences. ถ้าความโกรธพลุ่งพล่าน ให้คิดถึงผลที่จะตามมา (ขงจื๊อ)
- A little learning is a dangerous thing.
รู้น้อยเป็นอันตราย (อเล็กซานเดอร์ โป๊ป)
- A good spouse and health is a person’s best wealth.
มีคู่สมรสดีและสุขภาพดี คือ สุดยอดความมั่งมีของคน (เบนจามิน แฟรงกลิน)
- Virtue and happiness are mother and daughter.
ความดีกับความสุขคู่กันเหมือนแม่กับลูกสาว (เบนจามิน แฟรงกลิน)
- Time is an herb that cures all diseases.
กาลเวลาเหมือนยาสมุนไพรที่รักษาได้ทุกโรค (เบนจามิน แฟรงกลิน)
- There is always someone worse off than you.
ยังมีคนที่แย่กว่าคุณอยู่เสมอ (อีสป)
- The customer is always right.
ลูกค้าเป็นฝ่ายถูกเสมอ (แบร์รี่ เพน)
- Loose lips sink ships.
ปากหลวม เรือล่ม (ภาษิตสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2)
- Learning is better than house and land.
การเรียนรู้มีค่ากว่าบ้านและที่ดิน (เดวิด การ์ริค)
- Home is where the heart is.
บ้านคือที่อยู่ของหัวใจ (เจ เจ แมคคล้อสกี้)
- He that would live in peace and at ease, must not speak all he knows, nor
judge all he sees.
คนที่อยากอยู่อย่างสงบและสบาย อย่าพูดทุกอย่างที่รู้หรือวิจารณ์ทุกอย่างที่เห็น
(เบนจามิน แฟรงกลิน)
- Great minds have purposes, others have wishes.
หัวใจที่ยิ่งใหญ่จะมีเป้าหมาย ส่วนหัวใจทั่วไปมักมีแต่ความปรารถนา (วอชิงตัน เออร์วิง)
- Genius is ninety percent perspiration and ten percent inspiration.
อัจฉริยภาพนั้นแท้จริงมาจากแรงบันดาลใจสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนอีกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์
มาจากหยาดเหงื่อ (โธมัส เอดิสัน)
อัจฉริยภาพนั้นแท้จริงมาจากแรงบันดาลใจสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนอีกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์
มาจากหยาดเหงื่อ (โธมัส เอดิสัน)
- Friendship increases by visiting friends but visiting seldom.
มิตรภาพเพิ่มพูนด้วยการไปเยือน แต่อย่าเยือนบ่อย (เบนจามิน แฟรงกลิน)
- Forgiveness is the attribute of the strong.
การให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง (มหาตมะ คานธี)
- Eat to live, not live to eat.
จงกินเพื่ออยู่ แต่อย่าอยู่เพื่อกิน (โสเครตีส)
จงกินเพื่ออยู่ แต่อย่าอยู่เพื่อกิน (โสเครตีส)
- Virtue alone is true nobility.
ความดีประการเดียวเท่านั้นคือความสูงศักดิ์ที่แท้จริง (วิลเลียม กิฟฟอร์ด)
- Those who are feared, are hated.
คนที่ใครๆเขาพากันกลัว คือ คนน่ารังเกียจ (เบนจามิน แฟรงกลิน)
ท่านลองสร้างสรรค์วาทะเด็ดๆขึ้นมา…..เผื่อฟลุ้คๆเป็นที่ถูกใจชาวโลก….ท่านก็อาจจะดังระดับโลกอย่างคนดังในอดีตก็ได้…….
Armistice
An armistice is the effective end of a war, when the warring parties agree to stop fighting. It is derived from the Latin arma, meaning weapons and statium, meaning a stopping.
A truce or ceasefire usually refers to a temporary cessation of hostilities for an agreed limited time or within a limited area. A truce may be needed in order to negotiate an armistice. An armistice is a modus vivendi and is not the same as a peace treaty, which may take months or even years to agree on. The 1953 Korean War armistice [1] is a major example of an armistice which has not yet been followed by a peace treaty.
The United Nations Security Council often imposes or tries to impose cease-fire resolutions on parties in modern conflicts. Armistices are always negotiated between the parties themselves and are thus generally seen as more binding than non-mandatory UN cease-fire resolutions in modern international law.[citation needed]
A truce or ceasefire usually refers to a temporary cessation of hostilities for an agreed limited time or within a limited area. A truce may be needed in order to negotiate an armistice. An armistice is a modus vivendi and is not the same as a peace treaty, which may take months or even years to agree on. The 1953 Korean War armistice [1] is a major example of an armistice which has not yet been followed by a peace treaty.
The United Nations Security Council often imposes or tries to impose cease-fire resolutions on parties in modern conflicts. Armistices are always negotiated between the parties themselves and are thus generally seen as more binding than non-mandatory UN cease-fire resolutions in modern international law.[citation needed]
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (ฝรั่งเศส:Louis XIV de France, อังกฤษ:Louis XIV of France)ประสูติวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1638 ณ ปราสาทซาโตเนิฟ เดอ ซังต์ แจร์มัง ออง เลย์ – 1 กันยายน พ.ศ. 2258) ครองราชย์14 พฤษภาคม พ.ศ. 2186 เป็นกษัตริย์แห่งฝรั่งเศส และ นาแวร์ เมื่อมีพระชนมายุได้เพียง 5 ชันษา เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 3 ของราชวงศ์บูร์บง แห่งราชวงศ์คาร์เปเทียง ทรงครองราชย์นานถึง 72 ปี นับเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุดของประเทศฝรั่งเศส และนานกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์อื่นในทวีปยุโรป
พระราชประวัติ
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ประสูติ ณ ปราสาทชาโต-เนิฟ เดอ
พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักในนามของ "สุริยกษัตริย์" (le Roi soleil) พระเจ้าหลุยส์ทรงสถาปนา
พระองค์ได้ทรงลดทอนอำนาจของชนชั้นสูงที่เชี่ยวชาญในการรบ ด้วยทรงรับสั่งให้พวกเขาเหล่านั้นรับใช้พระองค์เช่นเดียวกับเหล่าสมาชิกในราชสำนัก อันเป็นการถ่ายโอนอำนาจมายังระบบธุรการแบบรวมศูนย์ และทำให้พวกเขาเหล่านั้นกลายเป็นชนชั้นสูงที่ใช้สติปัญญา พระองค์ทรงดำริให้สร้าง
พระองค์ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับ
-เจ้าชาย
-เจ้าหญิงมารี-เทเรส (พ.ศ. 2210 - พ.ศ. 2215)
-เจ้าหญิงอานน์-เอลิซาเบธ ( พ.ศ. 2205 - พ.ศ. 2205)
-เจ้าชายหลุยส์แห่งฝรั่งเศส( พ.ศ. 2210 - พ.ศ. 2226)
-เจ้าหญิงมารี-อานน์ ( พ.ศ. 2207 - พ.ศ. 2207)
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงมีพระสนมมากมาย ในจำนวนนั้น รวมถึง
ปัญหาเรื่องพระพลานามัยที่ทรุดโทรมและปัญหาการหารัชทายาท ทำให้เกิดบรรยากาศเศร้าสลดขึ้นในช่วงปลายรัชสมัย พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พระองค์ต้องสูญเสียพระโอรส เจ้าชายหลุยส์แห่งฝรั่งเศส (มกุฎราชกุมาร) ไปในปี พ.ศ. 2254 ในปีถัดมา ดยุคแห่งบูกอญจ์ ผู้เป็นพระราชนัดดา พร้อมด้วยโอรสองค์โตของดยุคพระองค์นี้ก็ได้สิ้นพระชนม์ลงอีกด้วยโรคฝีดาษ องค์มกุฎราชกุมารทรงมีพระโอรสอีกสององค์ ซึ่งหนึ่งในนั้นได้เป็นกษัตริย์ของสเปนภายใต้พระนามว่าฟิลลิปเปที่ 4 แห่งสเปน เป็นผู้ซึ่งปฏิเสธสิทธิในการขึ้นครองบัลลังก์ฝรั่งเศสที่สืบเนื่องมาจากสงครามชิงบัลลังก์ในสเปนภายใต้สนธิสัญญาอูเทรชต์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2257 ดยุคแห่งแบรี โอรสอีกพระองค์หนึ่งของมกุฎราชกุมารก็สิ้นพระชนม์ลงอีกด้วย ราชนิกูลชายผู้สืบเชื้ออย่างถูกต้องจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ในขณะนั้นจึงได้แก่ดยุคแห่งอองจู พระโอรสองค์รองของเจ้าชายแห่งบูกอญจ์ ผู้เป็นเหลนของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ประสูิติเมื่อปี พ.ศ. 2253แต่ก็เป็นเด็กชายผู้มีพลานามัยเปราะบาง นอกเหนือจากดยุคแห่งอองจูผู้ซึ่งได้รับตำแหน่งมกุฎราชกุมารแล้ว ก็มีเจ้าชายผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากพระองค์อยู่อีกไม่มากในสายมารดาอื่น พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จึงทรงตัดสินพระทัยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ราชวงศ์ด้วยการมอบสิทธิ์การขึ้นครองบัลลังก์ให้แก่เจ้าชายอีกสองพระองค์ด้วยเช่นกัน ได้แก่เจ้าชายหลุยส์ ออกุสต์ เดอ บูร์บง ดยุคแห่งเมน และเจ้าชายหลุยส์ อเล็กซองเดรอ เคาท์แห่งตูลูส พระโอรสอันชอบธรรมสองพระองค์ที่ประสูติแต่มาดาม เดอ มงต์เตสปอง
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2258 ด้วยโรคติดเชื้อจากแผลกดทับ พระองค์ได้ทรงประกาศก่อนสิ้นพระทัยว่า "ข้าจะไปแล้ว แต่รัฐของข้าจะคงอยู่ตลอดไป" รัชสมัยของพระองค์กินเวลา 72 ปี กับ 100 วัน พระศพถูกฝังไว้ที่บาซิลิก ซังต์ เดอนี ซึ่งหลุมพระศพนี้ถูกบุกรุกทำลายในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศสในกาลต่อมา ดยุคแห่งอองจู เหลนของพระองค์ผู้มีพระชนม์เพียงห้าชันษาได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์ต่อมา ภายใต้พระนามว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แ่ห่งฝรั่งเศส โดยมีเจ้าชายฟิลิปป์ ดยุคแห่งออร์เลอง พระนัดดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นผู้สำเร็จราชการตลอดช่วงที่กษัตริย์ยังทรงพระเยาว์
การเมืองการปกครอง
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กับองค์รัชทายาท
ช่วงรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั้นโดดเด่นด้วยการรังสรรค์วัฒนธรรมชั้นสูงของฝรั่งเศส ภาษาฝรั่งเศสได้กลายเป็นภาษาของคนชั้นสูง และภาษาทางการทูตในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ คริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศรัสเซีย
ในปี พ.ศ. 2217 รัฐบาลฝรั่งเศสได้ซื้อหมู่เกาะมาร์ตีนีก มาจากบริษัทเอกชนแ่ห่งหนึ่งที่ยึดเกาะนี้มาได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2178 ในปี พ.ศ. 2232 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ทรงประกาศ"กฎดำ" ที่ให้อนุญาตให้มีทาสได้ในดินแดนอาณานิคม ผู้ที่ชื่นชมพระองค์ได้มองกฎดำนี้ว่าเป็นกฎที่ทำให้มีการค้าทาสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อจะได้จำกัดการกระทำทารุณกรรมต่อทาส และมอบสถานภาพทางสังคมให้แก่ทาส ซึ่งก่อนหน้านี้ เป็นได้เพียงทรัพย์สมบัติโดยตรงของเจ้าของทาส เฉกเช่นสิ่งของเครื่องใช้ และด้วยกฎนี้ พวกทาสสามารถมีสิทธิ์เป็นเจ้าของทรัพย์สินได้ในจำนวนจำกัด มีสิทธิ์เกษียณอายุเมื่อถึงวัยชรา มีสิทธิ์ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากเจ้าของ และได้รับอาหารที่ดี กฎดำจึงกลายเป็นกรอบของสนธิสัญญาทาสในสมัยนั้น
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงเป็นที่รักและเคารพของประชาชนชาวฝรั่งเศส จากการที่พระองค์ทำให้ประเทศเกรียงไกรและแผ่ขยายอาณาเขตไปเป็นอันมาก อย่างไรก็ดี การตกอยู่ในภาวะสงครามตลอดเวลาทำให้รัฐต้องขาดดุล และต้องเก็บภาษีอากรจากชาวไร่ชาวนาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก อเล็กซิส เดอ ทอกเกอวิลล์ นักประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสได้แสดงความเห็นว่า การที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เปลี่ยนพวกชนชั้นสูงให้กลายเป็นข้าราชบริพารธรรมดา รวมทั้งยังเข้าพวกกับผู้ดีใหม่ที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้แต่ไม่ให้มีอำนาจทางการเมือง มีส่วนผลักดันให้เกิดความไม่มั่นคงในสเถียรภาพทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในเวลาต่อมา และเป็นชนวนก่อให้เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสในที่สุด
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กับองค์รัชทายาท
ช่วงรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั้นโดดเด่นด้วยการรังสรรค์วัฒนธรรมชั้นสูงของฝรั่งเศส ภาษาฝรั่งเศสได้กลายเป็นภาษาของคนชั้นสูง และภาษาทางการทูตในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ คริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศรัสเซีย
ในปี พ.ศ. 2217 รัฐบาลฝรั่งเศสได้ซื้อหมู่เกาะมาร์ตีนีก มาจากบริษัทเอกชนแ่ห่งหนึ่งที่ยึดเกาะนี้มาได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2178 ในปี พ.ศ. 2232 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ทรงประกาศ"กฎดำ" ที่ให้อนุญาตให้มีทาสได้ในดินแดนอาณานิคม ผู้ที่ชื่นชมพระองค์ได้มองกฎดำนี้ว่าเป็นกฎที่ทำให้มีการค้าทาสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อจะได้จำกัดการกระทำทารุณกรรมต่อทาส และมอบสถานภาพทางสังคมให้แก่ทาส ซึ่งก่อนหน้านี้ เป็นได้เพียงทรัพย์สมบัติโดยตรงของเจ้าของทาส เฉกเช่นสิ่งของเครื่องใช้ และด้วยกฎนี้ พวกทาสสามารถมีสิทธิ์เป็นเจ้าของทรัพย์สินได้ในจำนวนจำกัด มีสิทธิ์เกษียณอายุเมื่อถึงวัยชรา มีสิทธิ์ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากเจ้าของ และได้รับอาหารที่ดี กฎดำจึงกลายเป็นกรอบของสนธิสัญญาทาสในสมัยนั้น
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงเป็นที่รักและเคารพของประชาชนชาวฝรั่งเศส จากการที่พระองค์ทำให้ประเทศเกรียงไกรและแผ่ขยายอาณาเขตไปเป็นอันมาก อย่างไรก็ดี การตกอยู่ในภาวะสงครามตลอดเวลาทำให้รัฐต้องขาดดุล และต้องเก็บภาษีอากรจากชาวไร่ชาวนาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก อเล็กซิส เดอ ทอกเกอวิลล์ นักประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสได้แสดงความเห็นว่า การที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เปลี่ยนพวกชนชั้นสูงให้กลายเป็นข้าราชบริพารธรรมดา รวมทั้งยังเข้าพวกกับผู้ดีใหม่ที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้แต่ไม่ให้มีอำนาจทางการเมือง มีส่วนผลักดันให้เกิดความไม่มั่นคงในสเถียรภาพทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในเวลาต่อมา และเป็นชนวนก่อให้เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสในที่สุด
ในช่วงต้นของรัชสมัย ประเทศมหาอำนาจในยุโรปอีกประเทศหนึ่งคือ
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงครองราชย์ตรงกับช่วงระหว่างรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง สมเด็จเจ้าฟ้าชัย สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเพทราชา สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (พระเจ้าเสือ)และ สมเด็จพระเจ้าสรรเพชญ์ที่ 9 (พระเจ้าท้ายสระ) แห่งสมัยอยุธยา
Subscribe to:
Posts (Atom)